อยากขับรถประหยัดน้ำมัน 10 เทคนิคง่ายๆ นิดเดียวเอง คนญี่ปุ่นชอบทำ แสดงว่าใช้ได้ / how to save money while driving

  การขับขี่ประหยัดน้ำมันถือ ว่าเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าราคาน้ำมันจะถูกลงมากก็ตาม แต่พลังงานเหล่านี้กำลังจะหมดไปในอีกไม่ช้า ดังนั้นจึงควรหันมาให้ความสำคัญกับการขับขี่แบบประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น ก่อนที่จะสายเกินไป วันนี้ขอนำเสนอวิธีการขับรถ ที่ช่วยคุณๆ ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น โดยวิธีเหล่านี้ คนญี่ปุ่นชอบใช้ ยังไงเราก็ลองดูไม่เสียหาย
   

1.ออกตัวไม่รีบร้อน ค่อยๆเร่งไป ไม่ต้องรีบเหยีบ เพื่อแข่งออกตัวกับคนข้างๆ
     ผู้ขับขี่หลายคนเร่งความเร็วออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง รวดเร็วเกินความจำเป็น ซึ่งช่วงเร่งความเร็วนั้น ถือเป็นจังหวะที่เครื่องยนต์สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากที่สุด ดังนั้นจึงไม่ควรออกตัวอย่างรีบร้อนหากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ค่อยๆ ให้รอบมันขึ้นไป

2.ใช้ความเร็วคงที่ให้มากเท่าที่ทำได้ และรักษาระยะห่างกับรถคันหน้าอย่างเหมาะสม
     ควรเลี้ยงความเร็วให้คงที่อยู่เสมอ โดยเฉพาะการขับขี่ในกรุงเทพนั้น แม้จะเร่งความเร็วขนาดไหน ก็ไปติดสัญญาณไฟแดงข้างหน้าอยู่ดี ทางที่ดีควรใช้ความเร็วไม่เกินกฎหมายกำหนด รวมถึงควรเว้นระยะห่างจากคันหน้าอย่างเหมาะสม เพื่อจะไม่ต้องเหยียบเบรกบ่อยครั้งเกินไป ซึ่งเมื่อลดความเร็วลงแล้ว ก็จะต้องเพิ่มความเร็วกลับไปอีกครั้ง ทำให้เสียเชื้อเพลิงโดยไม่จำเป็น

3.ปล่อยไหลแทนการกดเบรก โดยเฉพาะเวลาจะกำลังถึงไฟแดง หรือ เวลารถติดๆ
     ข้อนี้ต่อเนื่องมาจากข้อที่แล้ว คือควรเว้นระยะห่างจากคันหน้าอย่างเหมาะสม หากจี้คันหน้ามากเกินไป จะทำให้ต้องเหยียบเบรกอยู่เป็นระยะ ส่งผลต่ออัตราสิ้นเปลืองโดยตรง

drive save
ขับรถให้ประหยัดน้ำมันทำไงดีน้า
4.ปรับอุณหภูมิแอร์ให้เหมาะสม
     แม้ว่าบ้านเราเป็นเมืองร้อน แต่การปรับอุณหภูมิให้เย็นเจี๊ยบตลอดเวลาก็อาจเกินความจำเป็นไป ทางที่ดีเร่งความเย็นเฉพาะช่วงขึ้นมานั่งบนรถใหม่ๆ ก็พอ เมื่อความเย็นได้ที่แล้วก็ปรับเพิ่มอุณหภูมิขึ้นเล็กน้อย หากรู้สึกร้อนให้ลองเพิ่มความแรงลมดูก่อน ก็จะช่วยให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นได้แล้ว เพราะยิ่งตั้งอุณหภูมิต่ำ คอมแอร์ ยิ่งทำงานหนักต่อเนื่อง ซึ่งก็จะทำให้กินแรงเครื่องมากขึ้น พอกินแรงมากขึ้น รอบเครื่องสูง ก็กินน้ำมันตามระเบียบ

5.ไม่วอร์มเครื่องยนต์โดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะบ้านเราเป็นเมืองร้อน ดังนั้นการวอร์มเครื่องก็ไม่จำเป็นต้องนานจนเกินไป
     การวอร์มเครื่องยนต์ไม่จำเป็นต้องสตาร์ทเครื่อง ยนต์อยู่กับที่ แต่สามารถขับออกไปได้ทันที เพียงแต่ต้องใช้ความเร็วต่ำเสียก่อน ทางที่ดีไม่ควรเร่งเครื่องยนต์เกิน 2 พันรอบต่อนาที ในขณะที่เครื่องยนต์เย็นอยู่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่เพียงพอกับการใช้งานโดยทั่วไป แล้ว


6.วางแผนเส้นทางเลี่ยงรถติด
     ปัญหารถติดถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สิ้นเปลือง เชื้อเพลิงเช่นกัน ทางที่ดีควรใช้เส้นทางเลี่ยงรถติด หรือเปลี่ยนเวลาในการเดินทางหากเป็นไปได้ เช่น กลับบ้านดึกขึ้นอีกนิดหน่อย เพื่อเลี่ยงการจราจรอันแสนสาหัสยามเย็น เป็นต้น

7.เช็คลมยางสม่ำเสมอ
     ลมยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก โดยไม่จำเป็น เนื่องจากมีแรงเสียดทานกับพื้นถนนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จึงควรเติมลมยางในระดับที่เหมาะสม และต้องไม่มากจนเกินไป เพราะจะทำให้ยางเกิดความเสียหายได้ คำว่าเหมาะสม สำหรับบางท่านที่ไม่รู้ว่าจะเติมเท่าไหร่ดี ก็เริ่มจากมาตราฐานของรถที่ปรกติเขาจะติดเป็นสติกเกอร์ไว้ข้างคนขับ เวลาเราเปิดประตูรถไป จะเห็นติดอยู่ ลองอ่านดูจากตรงนั้น แล้วพอเราลองใช้ๆไป ถ้ารถกระด้าง หรือ มันกระเด้งมาก สำหรับรถบ้านๆ ก็ลดแรงดันลมลงนิดหน่อยได้ ปรกติ ก็ อยู่ช่วง 28-30 ก็กำลังดี ไม่ยวบยาบ ทุกของได้นิดหน่อย และก็โดยสารได้หลายคนอยู่

8.เอาสิ่งของไม่จำเป็นออกจากรถ
     ลองสำรวจดูว่าท้ายรถของคุณผู้อ่านมีสิ่งของไม่จำ เป็นหรือไม่ เพราะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะทำให้สมรรถนะลดลง แถมกินน้ำมันมากขึ้นอีกต่างหาก

9.ปฏิบัติตามระเบียบการจอดรถ
     การจอดรถอย่างเป็นระเบียบจะช่วยให้ประหยัดน้ำมัน ขึ้นได้เช่นกัน เพราะผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องขยับรถเพื่อหลีกเลี่ยงใบสั่ง แถมยังอาจทำให้โดนค่าปรับอีกด้วย

10.เช็คอัตราสิ้นเปลืองอยู่เมสอ
     รถยนต์รุ่นใหม่ๆจะติดตั้งหน้าจอ MID ซึ่งสามารถแสดงอัตราสิ้นเปลืองได้ ควรหมั่นตรวจสอบและรีเซ็ตค่าอยู่เสมอ เพื่อคอยเช็คว่ารถมีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ในระดับปกติหรือไม่

     เหล่านี้คือเทคนิคช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองของรถยนต์ที่ได้รับการปฏิบัติจากชาว ญี่ปุ่นเป็นอย่างดี ซึ่งแม้ว่าไทยและญี่ปุ่นจะมีสภาพการจราจรที่แตกต่างกัน แต่เชื่อว่าหากสามารถทำให้เพียงบางส่วน ก็จะถือเป็นการสร้างจิตสำนึกขับขี่ประหยัดน้ำมันที่ดี และช่วยเซฟเงินในกระเป๋าได้หลายสตางค์อยู่เหมือนกันครับ ต้องลองเองนะ

ขอบคุณบทความดีๆ จาก sanook.com

น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำ เติมยังไง จำเป็นต้องเติมมั้ย? Radiator Coolant

coolant
น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำ จำเป็นมั้ย?
น้ำยาหล่อเย็น (Coolant ) น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำอลูมิเนียม และ น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำทองแดง คืออะไร จำเป็นต่อระบบเครื่องยนต์มากแค่ไหน ทำไมถึงต้องเติมเข้าไปในระบบหม้อน้ำ ใช้แค่น้ำเปล่าอย่างเดียวไม่ได้เหรอ ฯลฯ คำถามเหล่านี้ หลายๆ คนอาจรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่กับบางคนที่เป็นมือใหม่ หรือขับเป็นอย่างเดียว แต่ดูแลไม่เป็น ลองมารู้จักกับมันดูก่อน เพื่อจะได้เข้าใจถึงความสำคัญ และความจำเป็นต่อระบบของน้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำมากขึ้น เพื่อจะยืดอายุการใช้งานหม้อน้ำรถของเราไปนานๆ ด้วยเหตุว่าสมัยนี้หม้อน้ำที่ติดมากับรถนั้นจะเป็นหม้อน้ำที่ผลิตจากวัตถุดิบ อลูมิเนียมเป็นหลัก(บางซะด้วย) ซึ่งเกิดสนิมและการกัดกร่อนภายในท่อน้ำได้ง่าย ดังนั้นเราควรดูแลมันให้ดี มิเช่นนั้นแล้วก็ต้องเสียหลายตังถ้าต้องเปลี่ยนหม้อน้ำใหม่ เพราะตัวหม้อน้ำอลูมิเนียมที่ติดมากับรถนั้น ซ่อมไม่ได้ ถึงแม้ใครบอกว่าได้ ก็ได้แค่ชั่วคราว สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนใบใหม่อยู่ดี แถมถ้าชอบของศูนย์ด้วย ราคายิ่งสูงไปกันใหญ่เลย
  
สำหรับ น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำ (Coolant) ส่วนประกอบหลักของมันจะมี น้ำ, สารหล่อเย็น(ETHYLENE GLYCOL), หัวเชื้อป้องกันสนิม และสีต่างๆ ฯลฯ ซึ่งถ้าพูดถึงคุณสมบัติจริงๆ ของมันแล้ว น้ำยาหล่อเย็น ไม่ได้มีหน้าที่ระบายความร้อน แต่จะช่วยทำให้จุดเดือดของน้ำที่ผสมน้ำยาหล่อเย็นสูงขึ้น ทำให้น้ำที่อยู่ในหม้อน้ำเดือดช้าลง

     น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำ (Coolant ) ยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกมากมาย ดังนี้
     1. ป้องกันน้ำในระบบแข็งตัวเป็นน้ำแข็งในจังหวะสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ๆ ซึ่งในบ้านเราจะไม่เห็นผลเท่าใดนัก เพราะเป็นเมืองร้อน
     2. เพิ่มจุดเดือดน้ำ คือชะลอการระเหยของน้ำในระบบหล่อเย็นเมื่อเครื่องยนต์ร้อนจัด เพราะเวลาน้ำเดือดมันจะระเหยกลายเป็นไอที่ 100C ํ ซึ่งถ้าผสมน้ำยาหม้อน้ำลงไปก็จะระเหยที่ 105 / 110  / 115 องศาเซลเซียส ตามสัดส่วนที่เราผสมลงไป
     3. ป้องกันการเกิดสนิม ตะกรัน ตะกอน เพราะเมื่อมีสนิมมันก็จะผุ กร่อน มีตะกอน น้ำยาจึงช่วยไม่ให้มีการอุดตันในรังผึ้งของหม้อน้ำ
     4. หล่อลื่นปั๊มน้ำ ซีลปั๊มน้ำ และวาล์วน้ำ

     และนี่คือความสำคัญของ น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำ (Coolant) ที่มีประโยชน์ต่อเครื่องยนต์มากๆ ซึ่งหากเราไม่ใช้ หรือไม่เติมน้ำยา ใช้แค่น้ำเปล่าอย่างเดียวก็ได้ แต่มันจะส่งผลเสียต่อระบบระบายความร้อน และเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว เพราะหม้อน้ำรถยนต์ในปัจจุบันมักทำมาจากอะลูมิเนียม ทำให้สามารถเกิดสนิม ตะกรัน ตะกอน และเกิดการกัดกร่อนได้ง่าย โดยเราสามารถตรวจสอบได้ด้วยการถอดท่อยางที่ต่อจากหม้อพักน้ำออกมาดู จะเห็นได้ว่ามันจะมีคราบ และร่องรอยของการเกิดตะกรัน ซึ่งหากร้ายแรงมากๆ อาจถูกกัดกร่อนจนแตก ผุ แหว่ง และนี่เองจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หม้อน้ำ แผงหม้อน้ำ และทางเดินน้ำเกิดการอุดตัน หรือรั่วซึม จนทำให้ระบบระบายความร้อนออกมาได้ไม่ดี น้ำในหม้อน้ำแห้ง จนเครื่องร้อนจัด และความร้อนขึ้น หรือก็คือโอเวอร์ฮีทนั่นเอง
     ส่วนการผสมใช้งาน น้ำยาหล่อเย็น (Coolant) กับน้ำ ส่วนมากจะผสมกันในอัตราส่วน 50/50 หรือดูวิธีผสมได้ที่ข้างขวดของน้ำยายี่ห้อนั้นๆ และระยะการเปลี่ยนถ่ายก็ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น หรือน้ำยาที่ใช้ด้วย เช่น บางรุ่นกำหนดไว้ทุกๆ 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร และบางรุ่นกำหนดไว้ที่ 100,000 – 200,000 กิโลเมตร ฯลฯ (ศึกษาดูเพิ่มเติมจากคู่มือยี่ห้อรถนั้นๆ)
     นอกจากนี้หากมีเวลา ควรเปิดฝากระโปรงหน้าอาทิตย์ละครั้งเพื่อสังเกตน้ำในหม้อน้ำ และหม้อพักน้ำสำรอง เพื่อจะได้รู้ทัน หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับหม้อน้ำ เช่น น้ำในหม้อน้ำอยู่ต่ำกว่าระดับที่กำหนด, น้ำแห้งเร็วเกินไป, มีคราบของน้ำยาหล่อเย็นหยด หรือเปื้อนตามจุดต่างๆ ที่เครื่องยนต์ และบนพื้นที่จอด ฯลฯ (สีของน้ำยาหม้อน้ำที่รั่วซึมจะสังเกตได้ง่าย เพราะสีที่ผสมเข้าไป เช่น สีเขียว สีชมพู ฯลฯ)


รถแอร์ไม่เย็น ทำไงดี และ วิธีป้องกัน

รถแอร์ไม่เย็น ทำไงดี และ วิธีป้องกัน

ช่วงนี้หน้าร้อนแล้ว และก็ร้อนมากๆด้วย ดังนั้นวันนี้อยากจะมาแนะนำวิธีที่จะช่วยลดปัญหาเรื่องร้อนๆ บนรถมาฝากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน


แอร์เย็นๆ หน้าร้อน
ป้องกันปัญหา แอร์ไม่เย็น ช่วงหน้าร้อนนี้

 - เมื่อเปิดแอร์ หรือเครื่องยังเย็นอยู่ไม่ควรเปิดแอร์จนสุด เพราะควรให้คอมแอร์ได้วอร์มสักพักก่อนซัก 5 นาที ควรสตาร์ตเครื่องยนต์และให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิทำงาน พัดลมระบายความร้อนหม้อน้ำทำงานก่อน จึงเปิดสวิตช์ระบบปรับอากาศ

     - ไม่ตั้งอุณหภูมิให้เย็นเกินไป เพราะจะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานอยู่ตลอดเวลา
     - เปิดสวิตช์พัดลมก่อนแล้วจึงกดสวิตช์ระบบปรับอากาศ (A/C) เปิดไปที่ความเร็วพัดลมสูงสุดระยะหนึ่งก่อน แล้วจึงลดลงไปยังความเร็วน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น


ปุ่ม A/C
ตัวอย่าางปุ่ม A/C

     - หลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอม หรือสเปรย์ปรับอากาศ เพราะไอระเหยของสารเคมีจะถูกดูดเข้าไปสะสมตัวที่ครีบเล็กๆ ของคอยล์เย็น สารเหล่านี้มีคุณสมบัติดูดความชื้น ทำให้ฝุ่นผงจับตัวที่ครีบระบายความเย็น ความสามารถในการถ่ายเทความร้อนจะลดลง คอมเพรสเซอร์จะทำงานมากขึ้น ให้ศูนย์บริการทำความสะอาดคอยล์เย็นเป็นครั้งคราวเมื่อรู้สึกว่าประสิทธิภาพในการทำความเย็นของระบบปรับอากาศลดลง
     - ไม่ควรนำน้ำหอมชนิดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบไปเสียบไว้หน้าช่องแอร์ เพราะจะทำให้ตู้แอร์ผุกร่อนเร็วขึ้น
     - ก่อนถึงจุดหมายปลายทางประมาณ 15 นาที ปิดสวิตช์ระบบปรับอากาศ (A/C) เปิดพัดลมไปที่ความเร็วสูงสุด เพื่อลดการทำงานคอมเพรสเซอร์และไล่ความชื้นออกจากคอยล์เย็น
     - เมื่อนำรถจอดตากแดดเป็นเวลานานๆ ก่อนใช้รถควรเปิดลมเปล่าให้แรงสุด (ปิดสวิตช์ A/C) เพื่อไล่ความร้อนที่มีอยู่ในระบบแอร์ออกเสียก่อน แล้วจึงค่อยเปิดน้ำยาแอร์ (เปิดสวิตช์ A/C)
     - ก่อนจอดรถทิ้งไว้นานๆ เช่น จอดข้ามคืน ควรเปิดลมเปล่าให้แรงสุด (ปิดสวิตช์ A/C) ประมาณ 5 นาที เพื่อไล่ความชื้น ไล่น้ำ ที่ค้างอยู่ในตู้แอร์ออกก่อน เพราะตู้แอร์ทำจากอะลูมิเนียมจะเกิดการผุกร่อนได้ง่าย และจะทำให้ตู้แอร์ลดการเหม็นอับอีกด้วย
     - จงจำไว้ว่า ระบบแอร์เป็นระบบปิด ดังนั้น เมื่อรถต้องเติมน้ำยาแอร์บ่อยๆ แสดงว่าเกิดการรั่วของระบบแอร์แล้ว
     - ไม่ควรเปิดกระจกขับรถบ่อย เพราะจะทำให้ฝุ่นละอองจากภายนอกเข้ามาอุดตันในตู้แอร์ได้เร็วยิ่งขึ้น
     - เมื่อแอร์ไม่เย็น (กรณีเปิดน้ำยาแอร์แล้ว เปิดสวิตช์ A/C แล้ว) แต่ยังไม่เย็น ให้รีบปิดน้ำยาแอร์หรือสวิตช์ A/C ทันที เพราะอย่างน้อยๆ ถ้าเกิดการรั่วในระบบ น้ำยาแอร์และน้ำมันคอมเพรสเซอร์จะมีน้อยมากในระบบ จะทำให้คอมเพรสเซอร์พังมากขึ้นกว่าเดิม และควรนำรถไปเช็กให้เร็วที่สุด แต่กรณีนี้ใช้ลมเปล่าก่อนก็ได้
     - ควรล้างตู้แอร์ทุกๆ 2 ปี หรือถ้าใครเปิดกระจกขับรถบ่อย ให้ล้างทุกปี หรือตามเห็นสมควร
     - เมื่อมีเหตุจำเป็นที่ต้องเปิดกระจกขับรถ ควรปิดช่องแอร์บริเวณคอนโซลหรือจุดที่แอร์ออกให้หมดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ฝุ่นเข้าไปในระบบแอร์น้อยที่สุด

     ขอบคุณบทความดีๆ จาก: นสพ.มติชน


พวงมาลัยสั่น เป็นอะไรได้บ้าง / steering wheel shaking problem, why?

พวงมาลัยสั่น เป็นอะไรได้บ้าง / steering wheel shaking problem, why?


อาการพวงมาลัยสั่นนั้น เกิดขึ้นได้ตั้งแต่รถที่พึ่งถอยออกมา จนถึง รถที่เก่าแก่

เรามาดูกันว่ามันจะเกิดจากอะไรได้บ้าง

บทความจาก คอลัมน์ คาร์ทิปส์

อาการพวงมาลัยรถยนต์สั่นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ยานยนต์ "มติชน" รวบรวมสาเหตุมาได้ดังนี้

อาการพวงมาลัยรถยนต์สั่นเ
อาการพวงมาลัยรถยนต์สั่น

1.การบวมของยางจากยางหมดอายุ โดยปรกติแล้วยางรถยนต์จะมีอายุประมาณ 2 ปี หรือ ขึ้นอยู่กับการใช้งาน อาการยางบวม ต้องอาศัยการสังเกตเอา



ยางรถยนต์

2.การเบรกรุนเเรง

3.หน้ายางไถลไปกับพื้น การที่หน้ายางไถลไปกับพื้นเป็นระยะเวลาหนึ่งๆ จะทำให้หน้ายางที่ตำแหน่งนั้นๆ บางลม เพียงจุดเดียว จึงทำให้เวลาขับไปจึงสะดุดเป็นรอบๆ ซึ่งก็จะรู้สึกสั่นๆผ่านทางพวงมาลัยได้

4.การตกหลุมแรงๆ การตกหลุมแรงๆ อาจทำให้เกิดความเสียหายกับทั้งตัวยาง และตัวกระทะล้อ หรือ ล้อแม็กค์ได้ ดังนั้นควรระวังเวลามีหลุมลึก การขับให้ช้าลงจะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้

5.ขับไปทับของแข็งจนทำให้โครงสร้างภายในยางเกิดการเสียหายเปลี่ยนรูป

6.ยางไม่ค่อยได้ใช้ เช่น ยางเปอร์เซ็นต์เก่า หรือรถจอดทิ้งไว้นาน

7.ล้อแม็กซ์ ถ้าตัวกระทะล้อเบี้ยวผิดรูปทำให้หน้ายางบิดเบี้ยว มาจากรถตกหลุมแรงๆ หรือรถชนฟุตปาธ หรือนำกระทะล้อไปเจาะรูเอง หรือตัวตะกั่วถ่วงล้อหลุด

8.ปลอกดุม เป็นตัวช่วยล้อแม็กซ์และดุมประคองกัน เพื่อให้ตำแหน่งล้อได้เซ็นเตอร์เวลาใส่ล้อ ดังนั้นเวลาซื้อแม็กซ์ใหม่ นอกจากขนาดและออฟเซตแล้ว ต้องคำนึงถึงไดมิเตอร์ตรงกลางระหว่างดุมกับล้อด้วยว่า มีช่องว่างห่างกันหรือไม่

9.จานดิสก์เบรก ตัวจานดิสก์เบรกเป็นแผ่นโลหะทนความร้อนและการเย็นตัวได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งตัวจานดิสก์เบรกอุณหภูมิสูงถึงหลายร้อยองศาเซลเซียสจนแดงเหมือน เหล็กตีดาบเผาไฟ ดังนั้นเมื่อเย็นตัวลงแบบเฉียบพลันก็อาจคดเปลี่ยนรูปได้เช่นกัน

10.ลูกปืนล้อ
เป็น ตัวรองรับน้ำหนักและจุดหมุนของล้อ ถ้าลูกปืนหลวมหรือแตก จะทำให้ล้อแกว่งเสียการทรงตัวและเสียงดัง พวงมาลัยสั่นได้ เกิดจากจาระบีลูกปืนเสื่อมสภาพ หรือซีลของตัวลูกปืนล้อเสียแล้วมีฝุ่นและน้ำเข้าไปได้

11.ดุมล้อ
แกน-ดุม ล้อถือเป็นแกนหลักของการหมุนของล้อ ถ้าดุมล้อเกิดอาการคด ผิดมุมล้อไป ก็ทำให้ล้อแกว่งเช่นกัน พวงมาลัยก็จะสั่นด้วย เกิดจากขับรถตกหลุมแรงๆ และการรถผิดพลาด ทำให้พวงมาลัยสั่นได้เหมือนกัน

ที่มา : มติชนรายวัน 19 กันยายน พ.ศ. 2558: พวงมาลัยสั่น เป็นอะไรได้บ้าง / steering wheel shaking problem, why?

รับซ่อมแท๊งค์อินเตอร์ อลูมิเนียม แตก หัก / repair intercooler tank

งานรับซ่อมแท๊งค์อินเตอร์ คูลเลอร์ อลูมิเนียม แตก หัก หรือ ปะซ่อมรอยรั่ว ด้วยทีมช่างมืออาชีพ ซ่อมไว งานซ่อมด่วน แจ้งก่อนก็จัดการให้ได้ เป็นกรณีๆ ไป เพื่อให้งานของลูกค้าไม่สะดุด(นาน) และช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะไม่ต้องไปซื้อใบใหม่ แต่สามารถนำมาเช็คเพื่อดูว่า อินเตอร์คูลเลอร์ใบนั้นๆ สามารถซ่อมได้ก่อนหรือไม่ ถ้าปะซ่อมได้ ก็ปะซ่อมไป

CPS repair intercooler tank
ตัวอย่างงานซ่อมแท๊งค์อินเตอร์คูลเลอร์ที่แตกมา ซ่อมแล้วประกอบกับหม้อน้ำ และนำกลับไปใช้ได้เลย


ในภาพด้านบน คือหนึ่งในตัวอย่างงานซ่อมแท๊งค์อินเตอร์คูลเลอร์ที่ทางบริษัท ชลประสิทธิ์ กรุ๊ป จำกัด ได้ทำ เพื่อให้รวดเร็วในการซ่อม พร้อมกับการประกอบกับหม้อน้ำทองเหลืองทองแดงที่ลูกค้าสั่งมาเพื่อให้ประกอบใหม่ และประกบทั้งสองใบติดกัน พร้อมสำหรับในไปติดตั้งได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาไปหา หรือ ทำที่ยึดระหว่างกัน

หรือในกรณีที่รังผึ้งอินเตอร์คูลเลอร์ใบนั้นๆ ได้ใช้งานมานาน และมีปัญหาแล้ว ก็สามารถใช้แท๊งค์เดิม และ เปลี่ยนเฉพาะรังผึ้งได้ เพราะเราเป็นคนผลิตรังผึ้งเอง จึงสามารถผลิตรังผึ้งอินเตอร์คูลเลอร์ได้ทุกขนาด ให้สามารถเทียบเคียงของเดิมที่ลูกค้าใช้อยู่ได้

change inter cooler core by CPS
งานเปลี่ยนรังผึ้งอินเตอร์คูลเลอร์ Change inter cooler core

สนใจงาน ในรูปแบบใกล้เคียงงานด้านบน ติดต่อสอบถามก่อนได้ 038 272 646 , email: marketing@ccrthailand.com

บริษัท ชลประสิทธิ์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท ในเครือ ยินดีรับใช้ท่านจากใจ CPS