น้ำมันไฮดรอลิก
น้ำมันไฮดรอลิก (Hydraulic Oil) ระบบ
ไฮดรอลิกเป็นระบบที่มีการใช้กันอย่างกว้างขวางในโรงงานอุตสาหกรรมเกือบทุก
ประเภท รวมทั้งในงานก่อสร้าง เช่น เครื่องอัดขึ้นรูป
เครื่องพับม้วนและตัดแผ่นเหล็ก เครื่องกลึงและเจียระไน
เครื่องฉีดพลาสติกและอลูมิเนียม รถตัก รถยก รถขุด ปั้นจั่น
และรถแทรกเตอร์ต่างๆ เป็นต้น
ระบบนี้จะใช้น้ำมันไฮดรอลิกเป็นสารตัวกลางในการถ่ายทอดหรือเปลี่ยนแปลง
พลังงานของของไหลให้เป็นพลังงานกลได้ดีมาก
ทั้งในรูปของการเคลื่อนที่ในแนวเชิงเส้นหรือในแนวหมุนเมื่อเปรียบเทียบกับ
ระบบอื่นๆ เช่น
สามารถหยุดชะงักเมื่อมีการรับโอเวอร์โหลดนานทำงานในลักษณะที่มีโหลดเปลี่ยน
แปลง หรืองานที่ต้องการแรงม้ามากๆได้ดี ง่ายต่อการควบคุม
และสามารถปรับเปลี่ยนความเร็วของกระบอกสูบหรือมอเตอร์ไฮดรอลิกได้ง่ายและได้
ทุกระดับ เป็นต้น ระบบนี้จะประกอบด้วยส่วนประกอบและอุปกรณ์พื้นฐาน 7
อย่างคือ
1. ถังพักน้ำมันไฮดรอลิก ทำหน้าที่เก็บน้ำมัน ปรับสภาพน้ำมันให้สะอาดและมีอุณหภูมิพอเหมาะ
|
ถังน้ำมันไฮดรอลิค |
2. ออยล์คูลเลอร์ ทำหน้าที่ระบายความร้อนของน้ำมันในถังพัก เพื่อให้อยู่ในอุญหภูมิที่เหมาะสมกับการใช้งาน มีทั้งที่มีพัดลม กับ สามารถใช้ลมรอบๆตัวเป็นตัวช่วยดึงความร้อนออกจากตัวออยล์คูลเลอร์
3. ปั๊มไฮดรอลิก ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานกลให้เป็นพลังงานของของไหล
4. วาล์วควบคุมชนิดต่างๆ เพื่อทำหน้าที่ควบคุมความดัน ทิศทางการไหล และปริมษรการไหลของน้ำมันไฮดรอลิกในระบบ
5. อุปกรณ์ทำงาน ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานของของไหลให้เป็นพลังงานกล เช่น กระบอกสูบหรือมอเตอร์ไฮดรอลิก
|
กระบอกไฮดรอลิค |
6. ท่อทางไฮดรอลิก ทำหน้าที่เป็นทางไหลของน้ำมันไฮดรอลิกในระบบ
7. น้ำมันไฮดรอลิก
น้ำมัน
ไฮดรอลิกถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของระบบ
ถ้าเลือกใช้น้ำมันไฮดรอลิกผิดประเภทหรือไม่เหมาะสมกับอุปกรณ์ในระบบตามที่
บริษัทผู้ผลิตกำหนดก็อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้และถึงแม้ว่าเราจะเลือใช้ชนิด
ของน้ำมันไฮดรอลิกได้อย่างถูกต้องแล้วก็ตาม
ในขณะใช้งานก็ยังต้องดูแลบำรุงรักาน้ำมันไฮดรอลิกให้อยู่ในสภาพดี คือสะอาด
มีอุณหภูมิพอเหมาะ และเปลี่ยนใหม่เมื่อถึงอายุการใช้งาน
รวมทั้งควรตรวจสอบให้มีน้ำมันไฮดรอลิกอยู่ในระดับที่พอเพียงสำหรับการใช้งาน
ในระบบอย่างสม่ำเสมอ ระบบจงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
น้ำมันไฮดรอลิกเป็นหัวใจของระบบไฮดรอลิก ทำหน้าที่หลักๆ 4 ประการคือ
1. การ
ส่งผ่านกำลัง
น้ำมันไฮดรอลิกจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลังงานจากจุดหนึ่งไปสู่
อีกจุดหนึ่งในระบบ
เพื่อเปลี่ยนแปลงกำลังงานของของไหลให้เป็นกำลังงานกลโดยไม่เกิดความต้านทาน
การไหลในระบที่มากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการสูญเสียกำลังงานมาก
และน้ำมันไฮดรอลิกจะต้องไม่ยุบตัวตามความดันมากเกินไปในขณะทำงาน
2. การ
หล่อลื่น
น้ำมันไฮดรอลิกจะต้องทำหน้าที่เป็นตัวช่วยหล่อลื่นและลดแรงเสียดทานระหว่าง
ชิ้นส่วนต่างๆ ที่สัมผัสกัน เช่น
ฟิล์มของน้ำมันไฮดรอลิกช่วยหล่อลื่นและลดการเสียดสีของผิวสัมผัสระหว่างแกน
วาล์วกับผนังภายในตัววาล์ว
แผ่นฟิล์มน้ำมันดังกล่าวจะต้องมีความข้นใสพอเหมาะที่จะแทรกซึมเข้าไปใน
รเล็กๆ และบริเวณรอยต่อของชิ้นส่วนภายในอุปกรณ์ได้
และสามารถรบน้ำหนักของชิ้นส่วนที่กดทับกันหรือรับแรงกดได้มากนั่นเอง
นอกจากนี้ยังต้องมีคุณสมบัติในการลื่นไหลที่ดีด้วย
เพื่อช่วยให้การเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ
ในระบบเคลื่อนที่ไปได้อย่างคล่องตัว
3. การ
ซีล
น้ำมันไฮดรอลิกจะทำหน้าที่เป็นซีลป้องกันการรั่วซึมภายในให้เกิดน้อยที่สุด
เมื่อมีความดันเกิดขึ้นในระบบ
เนื่องจากอุปกรณ์ในระบบไฮดรอลิกส่วนมากจะออกแบบให้มีการซีลแบบโลหะต่อโลหะ (Metal to Metal หรือ Metal Seal) และการทำหน้าเป็นตัวซีลนี้จะขึ้นอยู่กับความข้นใสของน้ำมันไฮดรอลิกแต่ละชนิดด้วย
4. การ
ระบายความร้อน
น้ำมันไฮดรอลิกจะช่วยระบายความร้อนของระบบโดยการไหลเวียนในขณะทำงาน
ซึ่งจะรับการถ่ายเทความร้อนที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์ต่างๆ
อันเนื่องมาจากการสูญเสียกำลังงานในระบบเข้าสู่ตัวมัน
และแผ่กระจายความร้อนนั้นผ่านผนังของถังพักเมื่อไหลลงสู่ถังพัก
คุณสมบัติที่จำเป็นในน้ำมันไฮดรอลิกมีดังนี้
1. มี
ความข้นใสพอเหมาะและค่าดัชนีความข้นใสสูง
น้ำมันไฮดรอลิกที่มีคุณภาพดีจะต้องมีคาความข้นใสคงที่แม้ว่าอุณหภูมิในการทำ
งานจะเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ค่าความข้นใสของน้ำมันไฮดรอลิกยังมีผลต่อการหล่อลื่นระหว่างผิว
สัมผัสของอุปกรณ์ต่างๆ กล่าวคือถ้าความข้นใสมากจะป้องกันการสึกหรอได้ดี
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีความข้นใสมากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อการหล่อลื่น
เนื่องจากทำให้การเคลื่อนตัวของน้ำมันไหลไปมาไม่สะดวก
2. มี
จุดข้นแข็งต่ำ
น้ำมันไฮดรอลิกที่ดีควรมีจุดข้นแข็งต่ำกว่าอุณหภูมิที่ระบบไฮดรอลิกทำงานและ
จุดข้นแข็งนี้จะมีปัญหาก็ต่อเมื่อระบบไฮดรอลิกต้องทำงานในที่ที่มีอุณหภูมิ
ต่ำกว่าปกติ
3. คุณภาพของน้ำมันจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงมากนักถึงแม้อุณหภูมิในการทำงานจะสูง
4. มีคุณภาพการหล่อลื่นที่ดี
5. ต้านทานการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชั่นได้ดีเยี่ยม
6. มีความคงที่และช่วยให้ไม่สิ้นเปลืองในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันบ่อยๆ
7. มีคุณภาพคงที่ถึงแม้อุณหภูมิในการทำงานจะเปลี่ยนแปลงมาก
8. สามารถต้านทานการเกิดสนิม
9. ช่วย
ป้องกันการกัดกร่อนโลหะ เนื่องจากชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ
ในระบบไฮดรอลิกส่วนใหญ่ทำด้วยโลหะ
ดังนั้นน้ำมันไฮดรอลิกจะต้องไม่มีคุณสมบัติของความเป็นกรดซึ่งจะมีอันตราย
ต่ออุปกรณ์ได้
10. สามารถเข้ากับยาง ซีล ปะเก็น และสีได้เป็นอย่างดี
11. ต้านทานต่อการเกิดฟอง
12. มีความสามารถแยกตัวจากน้ำได้ดี
13. ทนไฟ
14. มีค่าความสามารถในการอัดตัวต่ำ คือน้ำมันไฮดรอลิกต้องไม่ยุบตัวตามความดันเมื่อถูกอัดตัว
15.ไม่จับตัวเป็นก้อนหรือยางเหนียว
16. มีความเสถียร คือไม่เกิดปฎิกิริยาออกซิเดชั่นและไม่เสื่อสลายเพราะความร้อนได้ง่าย
17. สามารถผ่านไส้กรองขนาดละเอียดมากได้ดีโดยไม่เกิดการอุดตัน
น้ำมัน
ไฮดรอลิกมีให้เลือกใช้มากมายหลายชนิด
การเลือกใช้ให้ถูกต้องจะต้องพิจารณาถึงวิธีการทำงานของระบบเป็นหลัก
รวมทั้งสภาพการทำงานของเครื่องด้วย
โดยทั่วไปน้ำมันไฮดรอลิกถูกจัดแบ่งตามลักษณะการผลิตตามวัตถุประสงค์การใช้
งานได้ 2 ประเภทคือ
ประเภทน้ำมันปิโตรเลียมหรือน้ำมันแร่และประเภทน้ำมันมนไฟ
น้ำมันไฮดรอลิกที่กลั่นจากน้ำมันแร่จะมีความข้นใสใกล้เคียงกับน้ำมัน
เทอร์ไบน์และประกอบด้วยส่วนผสมที่มีคุณสมบัติที่จำเป็นและต้องการในน้ำมัน
ไฮดรอลิก
ดังนั้นน้ำมันแร่และน้ำมันเทอร์ไบน์จึงเหมาะสำหรับระบบไฮดรอลิกทั่วไป
แต่สำหรับระบบที่อยู่ในสภาพที่มีการรั่วและทำงานในอุณหภูมิสูงหรือน้ำมัน
ระเหยได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดการเผาไหม้ได้
ก็ควรจะใช้น้ำมันไฮดรอลิกประเภทน้ำมันทนไฟ
ซึ่งมีคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์แตกต่างจากน้ำมันปิโตรเลียม
ส่วนความสามารถในการทนไฟนั้นจะขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมันทนไฟที่ใช้กับระบบ
ชนิดต่างๆ ของน้ำมันไฮดรอลิกดังต่อไปนี้
1. น้ำมันปิโตรเลียม (Petroleum Base Fluids) เป็นน้ำมันที่นิยมใช้กับระบบไฮดรอลิก คุณสมบัตของน้ำมันปิโตรเลียมขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ
- ชนิดของน้ำมันดิบ
- วิธีการและระดับการกลั่น
- สารประกอบที่ใช้
โดย
ทั่วไปน้ำมันไฮดรอลิกชนิดนี้มีคุณสมบัติในการหลื่อดีเยี่ยม
โดยเฉพาะน้ำมันดิบบางชนิดมีคุณสมบัติในการต้านทานการสึกหรอ
ต้านทานการเกิดสนิม
ในอุณหภูมิสูงๆทีค่าดัชนีความข้นใสสูงและมีความสามารถในการซีลดีมากอย่างไร
ก็ตามข้อเสียที่สำคัญของน้ำมันปิโตรเลียมก็คือเป็นน้ำมันที่ติดไฟ
ดังนั้นจึงไม่เหมาะชะใช้กับงานที่อยูใกล้เปลวไฟ เช่น เครื่องหล่อแบบพิมพ์
เตาเผาเหล็ก
เพราะถ้าเกิดท่อทางของน้ำมันไฮดรอลิกชนิดดังกล่าวเกิดการแตกหรือรั่ว
น้ำมันอาจลุกติดไฟได้
2. น้ำมันทนไฟ (Fire Resistance Fluid) น้ำมัน
ไฮดรอลิกชนิดนี้จะใช้ในกรณีที่ระบบต้องทำงานในที่ที่อุณหภูมิสูง
หรือในที่ที่อาจจะมีการติดไฟได้ง่ายเมื่อมีการรั่วซึมของน้ำมันในระบบ
น้ำมันทนไฟแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภทคือ
น้ำมันที่ผลิตจากสารเคมีสังเคราะห์ และน้ำมันที่มีน้ำผสมอยู่
1. น้ำมันทนไฟประเภทผลิตจากสารเคมีสังเคราะห์ (Synthetic Fluids) น้ำมันไฮดรอลิกที่ผลิตจากสารเคมีสังเคราะห์นี้มีอยู่ 2 ประเภทคือ ฟอสเฟตเอสเทอร์ (Phosphate Ester) และโพลีเออร์เอสเทอร์ (Polyor Ester)
คุณสมบัติ
ของน้ำมันที่ผลิตจากสารเคมีสังเคราะห์นี้จะไม่มีส่วนผสมของน้ำอยู่เลย
จึงสามารถใช้ได้ดีในขณะอุณหภูมิสูงๆ โดยไม่ทำให้สารประกอบระเหยไป
และใช้ได้ดีในระบบที่มีความดันสูงๆ
น้ำมันชนิดนี้มีค่าความถ่วงจำเพาะสูงที่สุด (น้ำหนักจึงมากที่สุด)
ดังนั้นจึงต้องระวังรักษษท่อดูดของปั๊มให้อยู่ในสภาพดี
น้ำมันชนิดนี้มีค่าดัชนีความข้นใสต่ำ คือประมาณ 80 VI ดังนั้นจึงควรใช้ในระบบที่มีอุณหภูมิการทำงานค่อนข้างคงที่เท่านั้น
นอก
จากนี้ราคาของน้ำมันชนิดนี้ยังจัดว่าสูงที่สุดในบรรดาน้ำมันที่ใช้ในระบบ
ไฮดรอลิก แต่น้ำมันชนิดนี้ไม่เหมาะกับซีลชนิดบูน่าร์-เอ็นและนีโอพรีน
ดังนั้นถ้าเปลี่ยนมาใช้น้ำมันประเภทนี้จะต้องเปลี่ยนซีลที่มีอยู่เสียก่อน
ข้อแนะนำในการใช้น้ำมันประเภทสารเคมีสังเคราะห์มีดังนี้คือ
1.1 ฟอสเฟตเอสเทอร์ มีข้อสังเกตในการใช้งานดังนี้
- ใช้ปั๊มที่เหมาะกับน้ำมันชนิดนี้
- ความเร็วระบบที่ขับปั๊มไม่ควรเกิน 1200 รอบต่อนาที
- ใช้สเตรนเนอร์ในท่อดูดที่มีอัตราการไหลตั้งแต่ 3 เท่าขึ้นไปของอัตรจ่ายของปั๊ม
- ระดับน้ำมันในถังพักควรต่ำกว่าช่องต่อทาวเข้าปั๊มประมาณ 80 เซนติเมตร เพื่อป้องกันไม่ให้แรงต้านทานการไหลในท่อดูดของปั๊มเพิ่มขึ้น
- หลีก
เลี่ยงการใช้ข้องอหรือข้อต่อแบบ 90 องศาในท่อทางดูดของปั๊ม
เพื่อป้องกันไม่ให้แรงต้านทานการไหลในท่อดูดของปั๊มเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ท่อดูดควรมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับช่องทางออกของปั๊มด้วย
- ไม่ควรใช้สีทาภายในถังพัก
- ชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เคลื่อนไหวในระบบไม่ควรทำจากอะลูมิเนียม
- ต้องระวังไม่ให้น้ำปะปนลงในน้ำมัน
1.2 โพลีเออร์เอสเทอร์ มีข้อสังเกตในการใช้งานดังนี
- ไม่ควรใช้สีประเภทฟีโนลิกเรซิน (Phenolic resin) ทาภายในถังพัก
- ห้ามใช้สารที่ทำจากยางบิวทิล (butyle)
2. น้ำมันทนไฟประเภทน้ำมันที่มีน้ำผสมอยู่ (water containing fluids) น้ำมันประเภทนี้แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ ประเภทน้ำมันผสมไกลคอล (water-glycol type fluids) ประเภทมีน้ำผสมอยู่น้อยกว่าน้ำมัน (water in oil type emulsions) และประเภทมีน้ำอยู่น้อยกว่าน้ำ (oil in water type emulsions)
2.1 น้ำมัน
ประเภทน้ำผสมไกลคอล น้ำมันประเภทนี้ประกอบด้วยน้ำ 35-40
เปอร์เซนต์เพื่อเป็นสารต้านการติดไฟ
ไกลคอลและสารประกอบจากน้ำที่เป็นยางเหนียวจะทำให้เกิดความหนืด
นอกจากนี้ยังมีสารประกอบอื่นที่ช่วยป้องกันการเกิดฟอง การเกิดสนิม
การผุกร่อน และช่วยในการหล่อลื่น
น้ำมัน
ประเภทนี้โดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติที่ดีในการต่อต้านการผุกร่อน
แต่เนื่องจากมีน้ำหนักมากจึงทำให้เกิดการสุญญากาศมากในท่อดูดของปั๊ม
จึงไม่เหมาะที่จะใช้กับระบบที่มีอุปกรณ์ทำด้วยสังกะสี แคดเมียม
และแมกนีเซียม
ส่วนซีลที่ไม่เหมาะสมกับน้ำมันประเภทนี้คือซีลที่ทำจากหนังและไม้ก๊อก
ซึ่งจะดูดซึมน้ำที่อยู่ในน้ำมันได้
ดังนั้นจึงควรใช้ซีลที่ทำจากสารประกอบทางเคมีแทน
ข้อเสียของน้ำมันประเภทนี้ ได้แก่
- ในระหว่างการใช้งาน จะต้องคอยตรวจสอบปริมาณของน้ำในน้ำมันให้อยู่ในระดับพอเหมาะเพื่อรักษาค่าความข้นใสของน้ำมันให้คงที่อยู่เสมอ
- การระเหยของน้ำในน้มันอาจทำให้สารประกอบบางอย่างระเหยไปด้วย ซึ่งจะทำให้น้ำมันและอุปกรณ์บางอย่างมีอายุการใช้งานสั้นลง
- อุณหภูมิในการทำงานจะต้องอยู่ในระดับต่ำ
- มีราคาสูง
สำหรับ
ระบบที่ใช้น้ำมันปิโตรเลียมมาก่อนแล้วจะเปลี่ยนมาใช้น้ำมันประเภทนี้
จะต้องทำความสะอาดอุปกรณ์ทั้งหมดให้ดี
รวมทั้งเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ทำจากสังกะสีหรือแคดเมียมด้วย
ข้อแนะนำในการใช้น้ำมันประเภทน้ำผสมไกลคอลมีดังนี้
- ใช้ปั๊มชนิดพิเศษที่เหมาะกับน้ำมันที่มีน้ำผสมอยู่
- ความเร็วรอบที่ใช้ขับปั๊มไม่ควรเกิน 1,200 รอบต่อนาที
- อุณหภูมิของน้ำมันในขณะทำงานต้องไม่เกิน 50 องศาเซลเซียส
- ใช้สเตรนเนอร์ในท่อดูดที่มีอัตราการไหลมากกว่า 4 เท่าของอัตราจ่ายของปั๊ม
- ความต้านทานการไหลในท่อดูดของปั๊ม จะต้องต่ำกว่า 120 มิลลิเมตรปรอท
- ห้ามทาสีชนิดใดๆภายในถังพัก
- ห้ามใช้อุปกรณ์ที่ทำจากอะลูมิเนียม แคดเมียม และสังกะสี
- ห้ามใช้สารที่ทำจากยางโพลียูรีเทน (polyurethane)
2.2 น้ำมัน
ประเภทที่มีน้ำผสมอยู่น้อยกว่าน้ำมัน
น้ำมันประเภทนี้จัดว่ามีราคาถูกที่สุดในบรรดาน้ำมันประเภททนไฟ
นอกจากน้ำและน้ำมันแล้วยังประกอบด้วยสารเคมีที่ช่วยให้น้ำกับน้ำมันผสมกลม
กลืนกัน น้ำมันชนิดนี้นิยมใช้กันมากกว่าชนิดที่มีน้ำมันผสมอยู่น้อยกว่าน้ำ
เนื่องจากมีค่าความข้นใสสูงกว่าและมีคุณสมบัติในการหล่อเย็นดีพอใช้
นอกจากนี้ยังอาจเติมสารประกอบที่ช่วยต้านทานการเกิดสนิมและการเกิดฟองได้
ด้วย โดยทั่วไปน้ำมันชนิดนี้จะประกอบด้วยน้ำประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์
แต่เมื่อใช้ในระบบอาจเติมน้ำได้อีกเพื่อช่วยรักษาความข้นใสให้คงที่
ข้อสังเกตในการใช้น้ำมันประเภทที่มีน้ำผสมอยู่น้อยกว่าน้ำมันมีดังนี้
- ใช้ปั๊มชนิพิเศษที่เหมาะสมกับน้ำมันที่มีน้ำผสมอยู่
- ความเร็วรอบที่ใช้ขับปั๊มไม่ควรเกิน 1,200 รอบต่อนาที
- อุณหภูมิของน้ำมันในขณะทำงานต้องไม่เกิน 50 องศาเซลเซียส
- สเตรนเนอร์ที่ใช้ในท่อดูดควรมีอัตราการไหลมากกว่า 3-4 เท่าของอัตราจ่ายของปั๊ม
- ระบายน้ำที่แยกตัวออกมาที่ก้นถังอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- ความต้านทานการไหลในท่อดูดของปั๊มจะต้องต่ำกว่า 120 มิลลิเมตรปรอทล
- ห้ามใช้อุปกรณ์ที่ทำจากอะลูมิเนียม แคดเมียม และสังกะสี
- ห้ามใช้สารที่ทำจากยางโพลียูรีเทน
3. น้ำมัน
ประเภทมีน้ำมันผสมอยู่น้อยกว่าน้ำ
ประกอบด้วยน้ำมันน้อยกว่าน้ำจึงมคุณสมบัติคล้ายน้ำ
สามารถต้านทานการลุกไหม้ได้ดี มีความข้นใสต่ำ
และมีคุณสมบัติในการหล่อเย็นดีมาก
แล้วยังมีส่วนประกอบของสารเคมีที่ช่วยทำให้น้ำกับน้ำมันผสมกันได้ดี
น้ำมันชนิดนี้ก็จัดว่าเป็นน้ำมันทนไฟที่ทีราคาถูกที่สุดเช่นกัน
นอกจากนี้ยังอาจเติมสารประกอบที่ช่วยเพิ่มความหล่อลื่นและป้องกันการเกิด
สนิมให้ดีขึ้น
แต่ก่อนนิยมใช้น้ำมันประเภทนี้ในปั๊มขนาดใหย๋ที่มีความเร็วต่ำ
ปัจจุบันสามารถใช้ได้กับปั๊มทั่วๆ ไป
ข้อแนะนำในการใช้น้ำมันประเภทมีน้ำผสมอยู่น้อยกว่าน้ำมีดังนี้
- ใช้ปั๊มน้ำ
- สำหรับวาล์วควบคุมทิศทาง ควรใช้แบบป็อปเป็ต (poppet)
- สำหรับวาล์วปลดความดันควรมีอะไหล่สำหรับเปลี่ยน
- ห้ามใช้สารที่ทำจากยางโพลียูรีเทน
คุณสมบัติ
อื่นๆ
ของน้ำมันประเภทมีน้ำผสมอยู่น้อยกว่าน้ำมันและประเภทมีน้ำมันผสมอยู่น้อย
กว่าน้ำ คือ
น้ำมันทั้งสองประเภทนี้เหมาะสำหรับระบบที่มีอุณหภูมิต่ำเพื่อป้องกันการ
ระเหยและการเกิดออกไซด์ในน้ำมัน ข้อควรระวังในการใช้งานคือ
ระบบการกรองจะต้องดีมาก
และควรมีแม่เหล็กสำหรับดูดเศษโลหะที่ปนอยู่ในน้ำมันด้วย
น้ำมันทั้งสองประเภทนี้ใช้ได้ดีกับซีลและโลหะทุกชนิดที่ใช้ในระบบไฮดรอลิก
ที่ใช้น้ำมันปิโตรเลียม ถ้าต้องการเปลี่ยนน้ำมันในระบบมาใช้น้ำมัน 2
ประเภทนี้ จะต้องระบายและล้างอุปกรณ์ทั้งหมดให้สะอาด
รวมทั้งเปลี่ยนซีลที่เป็นแบบเคลื่อนที่เสียก่อน
การ
ใช้งานของน้ำมันไฮดรอลิก
น้ำมันไฮดรอลิกและปั๊มไฮดรอลิกเป็นหัวใจในการทำงานของระบบไฉดรอลิก
การที่ระบบจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตัวปั๊มต้องอยู่ในสภาพดี
และต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆที่สำคัญของน้ำมันไฮดรอลิกที่จะมีผลต่ออายุการ
ใช้งานของปั๊มไฮดรอลิกด้วยดังต่อไปนี้
- สภาพ
ของน้ำมันไฮดรอลิกในขณะใช้งานมีความสำคัญต่ออายุการใช้งานของปั๊ม
หากมีการปะปนของน้ำ ฝุ่น และเศษของแข็งจะทำให้ปั๊มสึกก่อนเร็วมาก
- ชนิด
ของน้ำมันไฮดรอลิก
การเลือกใช้น้ำมันไฮดรอลิกให้เหมาะสมกับชนิดและการออกแบบของปั๊มไฮดรอลิก
เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัณมาก เช่น
น้ำมันไฮดรอลิกที่ผสมสารป้องกันการสึกหรอประเภทสังกะสีจะไม่เหมาะกับปั๊มที่
มีชิ้นส่วนทำด้วยเงินและทองบรอนซ์บางประเภท เพราะจะทำให้เกิดการกัดกร่อน
เป็นต้น
- อุณหภูมิ
ของน้ำมันในระบบ ระบบไฮดรอลิกส่วนใหญ่มีการระบายความร้อนด้วยน้ำ
ดังนั้นจึงต้องดูแลให้ระบบระบายความร้อนทำงานได้ดีเพื่อรักษาระดับอุณหภูมิ
ของน้ำมันไฮดรอลิกในระบบไม่ให้สูงเกินไป
เพราะหากอุณหภูมิสูงมากน้ำมันจะเสือมสภาพเร็ว
ซึ่งจะมีผลเสียต่อการหล่อลื่นและป้องกันการสึกหรอของปั๊มด้วย
- การ
หล่อลื่นปั๊ม จะทำได้ดีต้องได้น้ำมันที่ถูกชนิด สะอาดปราศจากสิ่งเจือปน
และมีความข้นใสในระดับที่เหมาะสม
และระดับน้ำมันในอ่างต้องอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดไว้
- ความ
ข้นใสของน้ำมันไฉดรอลิกต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการออกแบบของระบบไฮดรอลิก
โดยเฉพาะปั๊มไฮดรอลิก
หากน้ำมันข้นเกินไปเวลาเริ่มเดินปั๊มจะเกิดเสียงดังอันเนื่องมาจากการเกิด
โพรงที่ว่างในเรือนปั๊มทำให้ปั๊มเกิดการสึกหรอและเสียหายได้
และในระหว่างการใช้งาน
ฟองอากาศที่ปะปนในน้ำมันแยกตัวแกได้ช้าเนื่องจากน้ำมันข้น
ก็จะเกิดเสียงและทำให้ปั๊มเสียหายเร็ว วาล์วเกิดการสึกกรอนเร็วด้วย
และหากน้ำมันใสเกินไปประสิทธิภาพของปั๊มและระบบไฮดรอลิกจะต่ำลงเพราะเกิดการ
รั่วกลับในเรือนปั๊ม โดยทั่วไปสำหรับระบบที่ใช้น้ำมันแร่เป็นน้ำมันไฮดรอลิก
ความข้นใสที่ใช้จะอยู่ในระดับเบอร์ ISO 32,
46, 68 หรือ 100 ในขณะการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ
อุณหภูมิการใช้งานควรจะอยู่ในราว 49-54 องศาเซลเซียส และไม่ควรเกิน 66
องศาเซลเซียส ความข้นใสจะอยู่ระหว่าง 13-54 เซนติสโตก ณ อุณหภูมิการใช้งาน
- น้ำมันไฮดรอลิกคุณภาพดีมักเติมด้วยสารป้องกันการสึกหรอ จะเป็นสารซิงค์ไดไธโอฟอสเฟต (zinc dialkyl dithiophosphaste) (ZDDP) ซึ่งเป็นประเภทมีเถ้า หรือสารพวกไตรครีซิลฟอสเฟต (TCP) ซึ่งเป็นสารประเภทไม่มีเถ้าก็ได้
- มีค่าดัชนีความข้นใสสูง และค่าความข้นใสไม่เปลี่ยนแปลงมากนักเมือ่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปมาก
ขอบคุณข้อความดีๆ จาก http://www.miller-thai.com