ออยล์คูลเลอร์น้ำ รถเครน เป็นการระบายความร้อนน้ำมันด้วยน้ำ / Crane water oil cooler

ออยล์คูลเลอร์น้ำรถเครน เป็นงานเปลี่ยนตัวรังผึ้งใช้โครงสร้างเดิม


เนื่องจากตัวเดิมๆ มักจะเกิดปัญหาเดียวกันคือ ตัวออยล์คูลเลอร์ภายในรั่ว ดังนั้นที่ทางบริษัทช่วยทำได้ แทนการซื้อใบใหม่ คือการเปลี่ยนรังผึ้งออยล์คูลเลอร์ภายใน เพื่อให้ใช้งานได้เหมือนเดิม เป็นการระบายความร้อนออกจากน้ำมัน ด้วยการใช้น้ำนำมาหล่อเย็น

เพียงแค่ลูกค้านำตัวสินค้าถอดมาให้ทางบริษัท จะดำเนินการจัดการทำให้เสร็จภายในสองสัปดาห์

สนใจสอบถาม 0863452995 หรือ

LINE ID: cps038272646

ออยล์คูลเลอร์น้ำรถเครน เป็นงานเปลี่ยนตัวรังผึ้งใช้โครงสร้างเดิม




Crane water oil cooler
water oil cooler / ออยล์คูลเลอร์น้ำ สำหรับรถเครน

ผลิตหม้อน้ำอลูมิเนียม ตามแบบ หม้อน้ำทาทา แต่ทำหนาขึ้นเป็น 2 นิ้ว

ผลิตหม้อน้ำทาทาใหม่ทั้งใบจากอลูมิเนียม ทำรังผึ้งหนาขึ้นเป็น 50มม.จากของเดิมๆ หนาแค่ 40 มม. ที่มีปัญหาเรื่องการระบายความร้อน

เนื่องจากได้ข้อมูลจากลูกค้ามาว่า หม้อน้ำของรถคันนี้จะร้อนเป็นพิเศษ จะทำเป็นทองเหลืองทองแดงก็กลัวจะไม่หายร้อน เพื่อความสบายใจ จึงนำเสนอเป็นตัวหม้อน้ำอลูมิเนียมเหมือนเดิม แต่ทำให้รังผึ้งหนาขึ้น เพื่อจะจุน้ำได้มากขึ้นภายในส่วนของรังผึ้ง เพื่อจะได้ระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น

ผลิตหม้อน้ำทาทา ตามแบบ แต่รังผึ้งหม้อน้ำหนาขึ้น เพื่อการระบายความร้อนที่ดี่ขึ้น




ทางบริษัทชลประสิทธิ์ กรุ๊ป ทำตัวรังผึ้งใหม่ ฝาใหม่ แต่ใช้ขาหม้อน้ำข้างเดิมเพื่อจะยึดตัวโครงบังลมในตำแหน่งเดิม



สนใจเปลี่ยนหม้อน้ำอลูมิเนียมฝาพลาสติกดำๆ มาเป็นอลูมิเนียมทั้งใบ

สอบถามก่อนได้ ที่เบอร์ 086 345 2995

ออยล์คูลลิ่ง ออยล์คูลเลอร์ สำหรับชุดไฮดรอลิค ขนาดเล็ก Oil cooler plate and bar with frame

Oil cooler plate and bar
oil cooler 401151 L ออยล์คูลเลอร์ สำหรับ ชุดไฮดรอลิค ขนาดเล็ก

    งานออยล์คูลเลอร์ใหม่ (รหัส 401151 L) สำหรับ ระบบงานระบายความร้อนน้ำมันไฮดรอลิคชุดต้นกำลังไฮดรอลิค หรือ ชุดไฮดรอลิคขนาดเล็ก ที่ต้องการระบายความร้อนของน้ำมันที่ออกมาจากระบบ
    ขอนำเสนอออยล์คูลเลอร์ พร้อมโครงตัวนี้ ที่มาพร้อมกับ
  • พัดลม 6 นิ้ว กำลังไฟ 220V เป่าเข้าหาตัวรังผึ้งออยล์คูลเลอร์ ตามทิศทางที่ชี้บอกไว้
  • พร้อมกับปลั๊กไฟที่มีแสง LED แจ้งเตือนเวลาพัดลมติดอยู่หรือไม่ 
  • ด้วยท่อเกลียวในเข้าออกขนาด 6 หุน สามารถใช้ร่วมกับท่อลดขนาดต่างๆได้
  • สามารถติดตั้งได้สะดวก เพราะทำรู สล็อตไว้ด้านล่างทั้งของตัวโครงบังลม และ ตัว ออยล์คูลเลอร์ เพื่อสามารถ ติดตั้งได้ง่าย
  • ตัวรังผึ้งมีคลีบระบายความร้อนด้านใน จึงทำให้ระบายความร้อนได้ดี และตัวรังผึ้งเสมอตัวแท๊งค์ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการระบายเต็มที่
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 086 345 2995 หรือ LINE ID: cps038272646

แอร์รถมีกลิ่นแปลกๆ มีควันออกมา แอร์ไม่ค่อยเย็น เป็นอะไร แก้ยังไง

อาการแอร์รถมีกลิ่นแปลกๆ มีควันออกมา แอร์ไม่ค่อยเย็น น่าจะเป็นอะไร แก้ยังไง

แอร์รถมีกลิ่นแปลกๆ มีควันออกมา แอร์ไม่ค่อยเย็น เป็นอะไร แก้ยังไง
แอร์รถมีกลิ่นแปลกๆ มีควันออกมา แอร์ไม่ค่อยเย็น เป็นอะไร แก้ยังไง



มีกลิ่นแปลกๆออกมาจากแอร์ เป็นอะไร แก้ยังไง

สำหรับสิ่งแรกคือกลิ่นที่ออกมาจากแอร์ ถ้าปรกติเราขึ้นรถ กลิ่นที่เรามักจะได้กลิ่นตอนสตาร์ทเครื่องและเปิดแอร์ ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นแค่กลิ่น ชื้นๆ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะรถที่ใช้ไปแล้วสักพัก ทุกครั้งที่เราหยุดรถ เรามักจะดับเครื่องเลย จำทำให้ความชื้นที่เกิดขึ้นจากความชื้นภายในห้องโดยสารไปเกาะอยู่ตรงคอยล์เย็น ที่ด้านในคอยล์มีน้ำยาแอร์ ซึ่งมีอุญหภูมิ ต่ำมาก วิ่งอยู่ภายใน แล้วเกิดเป็นไอน้ำเกาะอยู่ตามแผงคอยล์เย็น ซึ่งเมื่อจอดรถไว้นาน รวมถึงมีฝุ่นละอองมาติดตามหน้าแผง ก็จะทำให้เกิดกลิ่นชื้นๆ ได้ ซึ่งเพียงแค่เปิดแอร์แรงๆ สักพักกลิ่นก็จะหายไป หรือดีขึ้น แต่สำหรับกลิ่นแปลกๆ ที่ว่านี้ มันจะแตกต่างจากกลิ่นชื้น ซึ่งมันจะได้กลิ่นเหมือนน้ำยาแอร์ ออกมาจากช่องแอร์ ซึ่งสันนิฐานเบื้องต้นได้ก่อนเลยว่า แผงคอยล์เย็น อาจจะรั่ว สามารถนำรถของท่างไปให้ร้านแอร์ใกล้บ้านเช็คดูก่อนได้

ควันออกมากจากแอร์ เป็นอะไร แก้ยังไง


เรื่องที่สองควันที่ออกมาจากแอร์ จะมีด้วยกันสองประเภทเช่นกัน อันแรกคือเป็นไอเย็น ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อความเย็นจัดปะทะความร้อนชื้นภายในห้องโดยสารของรถ ซึ่งจะไม่มีกลิ่นแต่จะสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ออกมาจากช่องแอร์ ส่วนสำหรับประเภทที่สอง คือจะคล้ายๆกับไอเย็น แต่จะมีกลิ่นตามมาด้วย และมันมักจะมาเป็นระรอกๆ จะสังเกตได้อีกอย่างคือเสียงแอร์จะเหมือนมันฉีดน้ำยาแอร์เข้าสู่แผงแอร์ พอเสียงมาสักพัก ก็จะมีควันขาวๆออกมาจากช่องแอร์ อาการนี้ก็สันนิฐานได้เช่นกันว่า ตู้แอร์ หรือ แผงคอยล์เย็นรั่ว นำรถเข้าร้านแอร์เพื่อเช็ค หรือ เพื่อเปลี่ยนได้ หรือ ถ้าใครถนัดเข้าศูนย์ ก็เข้าศูนย์ได้ครับ เอาที่เราสบายใจครับ ราคาอาจจะต่างกันนิดนึง แต่ใช้งาน และอายุการใช้งาน ใช้ได้ไม่ต่างกันครับ


แอร์ไม่ค่อยเย็น เป็นอะไร แก้ยังไง

อาการแอร์ไม่ค่อยเย็นนั้น เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งนี้เราสามารถเช็คจากเบื้องต้นก่อน ก่อนจะไปเสียตังได้

1. ถ้าเป็นรถเก่า ถึงเก่ามาก อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา ที่ระบบแอร์มักจะทำความเย็นไม่ได้ดีเท่ารถใหม่ๆ เพราะ คอมแอร์อาจจะหลวมแล้ว แผงคอยล์ร้อนหน้ารถเก่ามากจนคลีบระบายความร้อนมันกรอบ และไม่มีประสิทธิภาพในการดึงความร้อนออกจากแผง และส่วนคอยล์เย็นด้านในรถก็เก่า และฝุ่นอาจเกาะเยอะแล้ว วิธีแก้ไข ก็คงได้แค่เป่าล้างคอยล์ร้อน หรือเปลี่ยนคอยล์ร้อน เพื่อให้มันระบายความร้อนได้ดีขึ้น และเช็คคอมแอร์ว่าสภาพเป็นอย่างไร แก้ไขได้มั้ย สำคัญถ้าสามารถติดฟิล์มกระจกรถเพิ่มความเข้มขึ้นได้ ก็จะช่วยได้อีกทาง

2. ถ้าเกิดขึ้นกับรถที่อายุยังไม่มากนั้น แอร์ไม่เย็นก็อาจเกิดจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้วในหัวข้อด้านบน สองข้อ เรื่องมีควันและมีกลิ่น ซึ่งเกิดจากการรั่วซึมของคอยล์เย็น หรือตามร้านมักจะบอกว่าตู้แอร์รั่ว ซึ่งสิ่งที่เขาจะเปลี่ยนให้จะเป็นคอยล์เย็นด้านใน ซึ่งเมื่อเปลี่ยนแล้วหายก็จบไป แต่ถ้ายังไม่หาย ดูข้อสามด้านล่างนี้


3. สาเหตุดังต่อไปนี้ กระผมประสบเอง คือ ระบบแอร์เราดีหมด เช็คร้านแอร์ ก็แล้ว ล้างแผงคอยล์ร้อนหน้ารถ ก็แล้ว แต่ทำไมแอร์มันยังไม่เย็น รถก็ไม่ได้เก่ามาก ยิ่งรถติด หรือ เร่งเครื่องแรงๆ แอร์ยิ่งร้อน สุดท้ายมาพบว่า หม้อน้ำรั่ว ก็เลยถึงบางอ้อ เลยจัดการผลิตหม้อน้ำใหม่ ใส่เข้าไปแทนที่ ก็ทำให้รถกลับมาเย็นเหมือนเดิม

ผลิตหม้อน้ำทองแดง
ตัวอย่างหม้อน้ำ ที่เปลี่ยนจากหม้อน้ำอลูมิเนียมเป็นหม้อน้ำทองแดง


หวังเป็นอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ตรงของผมจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ

ขอบคุณครับ

ธวัช (ชลประสิทธิ์ หม้อน้ำ, CPS)



ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง จะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแบบไหนดี / engine oil

รถคุณเหมาะกับน้ำมันเครื่องแบบไหน?
น้ำมันเครื่องแบบไหน เหมาะกับรถคุณนะ

ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง จะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแบบไหนดี


      น้ำมันเครื่องที่อยู่ในระบบเครื่องยนต์ของรถคุณนั้น มีหน้าที่ดูแลชิ้นส่วนโลหะต่างๆภายในเครื่องยนต์ ระบายความร้อนกระบอกสูบ และส่วนต่างๆ ลดการเสียดสี เวลาเดินเครื่อง เพื่อให้อายุการใช้งานของเครื่องยนต์ยาวนานขึ้น และเดินเครื่องไม่ติดขัด ลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ ยังช่วยเคลือบช่องว่างระหว่างผิวสัมผัส ช่วยทำความสะอาดเขม่าที่เกิดจากการจุดระเบิดภายในกระบอกสูบ และเศษโลหะที่อาจหลุดจากผนังภายใน ป้องกันกำลังอัดของเครื่องยนต์รั่วไหลภายในเครื่องยนต์ ที่สำคัญป้องกันการกัดกร่อนจากสนิม และกรดต่างๆ ถ้าหากคุณใช้น้ำมันเครื่องที่ดีมีคุณภาพสูง และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็นประจำตามกำหนดระยะทาง หรือเวลา จะช่วยให้ยืดอายุการทำงานของเครื่องยนต์ได้นานขึ้น โดยคุณสามารถเลือกใช้น้ำมันเครื่องได้ดังนี้
น้ำมันเครื่องที่คุ้นเคยตามการใช้งานมี 3 ชนิด

       1. น้ำมันเครื่องชนิดธรรมดา มีระยะเวลาใช้งานประมาณ 4,000 กิโลเมตร
       2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ มีระยะเวลาใช้งานประมาณ 7,000 กิโลเมตร
       3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ มีระยะเวลาใช้งานประมาณ 10,000 กิโลเมตร

ตัวอย่างการเลือกซื้อ เช่น รหัส 5w - 30

       ตัวเลข 5w หมายถึงค่าความข้นใส การทนต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็น ยิ่งตัวเลขน้อยยิ่งทนได้มากขึ้น และตัวเลขมากจะเหมาะสำหรับอุณหภูมิสูงๆ ครับ

       ตัวเลข 30 หมายถึงค่าความหนืด ยิ่งน้อย ยิ่งมีความหนืดน้อย หรือลื่นมากนั่นเอง ถ้าหากรถคุณมีอาการกินน้ำมันเครื่องจากการใช้เครื่องยนต์หนัก หรือเครื่องยนต์มีอายุมาก ก็ให้เพิ่มเลขท้ายเป็นเบอร์ 40-50 ได้เลย เพื่อเพิ่มความหนืดน้ำมันเครื่อง ป้องกันการรั่วของกำลังอัด สำหรับอากาศประเทศไทยให้ดูเลขท้ายน้ำมันเครื่องเป็นหลักครับ

เกรดน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน


       สังเกตตัวอักษร S คือ เครื่องยนต์เบนซิน ตามหลังคำว่า API และจะนำหน้าเกรดของน้ำมันเครื่องนั้นๆ ซึ่งจะเรียงลำดับจาก เกรดที่ต่ำสุด-เกรดที่สูงสุด เช่น น้ำมันเครื่องตัวนี้ระบุเกรด L ตัวอักษรข้างกระป๋องก็จะระบุว่า API SL คือ S เครื่องเบนซิน เกรด L เป็นต้น

เกรดน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ ดีเซล


       สังเกตตัวอักษร C คือ เครื่องยนต์ดีเซล ตามหลังคำว่า API และจะนำหน้าเกรดของน้ำมันเครื่องนั้นๆ ซึ่งจะเรียงลำดับจากเกรดที่ต่ำสุด-เกรดที่สูงสุด เช่น น้ำมันเครื่องตัวนี้ระบุเกรด Lตัวอักษรข้างกระป๋องก็จะระบุว่า API CL คือ C เครื่องดีเซล เกรด L เป็นต้น

       สำหรับการถ่ายน้ำมันเครื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก หากคุณใช้งานปกติก็บำรุงรักษาตามคู่มือรถได้เลย ส่วนจะเลือกถ่ายน้ำมันเครื่องที่ศูนย์บริการ หรือมีอู่ประจำก็เลือกได้ตามสะดวก ส่วนใครที่มีความเป็นช่างก็สามารถเปลี่ยนถ่ายเองได้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก อย่าลืมน้ำมันเครื่องเก่าเอาไปขายได้นะครับ

ขอบคุณบทความดีๆ จาก sanook.com
สนับสนุนเนื้อหาSilkspan - จะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแบบไหนดี

ออยล์คูลเลอร์แบบใหม่ เป็นงานลามิเน็ต หรือ Plate and Bar Oil cooler

Plate and Bar oil cooler
แท๊งค์กับหลอดเสมอกัน เรียกว่าแบบลามิเน็ท หรือ Plate And Bar Oil cooler




สำหรับตอนนี้ ทางโรงงานในเครือ ชลประสิทธิ์ กรุ๊ป สามารถผลิตสินค้า ประเภท ออยล์คูลเลอร์ แอร์คูลเลอร์ ที่เป็นแบบลามิเน็ท หรือเรียกกันในอีกชื่อว่า Plate and Bar  ได้แล้ว ซึ่งสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0863452995 หรือ LINE: cps038272646

ซึ่งจะแตกต่างจากที่ทางบริษัท เคยผลิตมา ซึ่งก่อนหน้านี้ทางบริษัท จะผลิตได้เฉพาะที่เป็นท่อแบบฉีดมาแล้วสวมเข้าจาน แต่ตอนนี้มีสินค้าใหม่ นวตกรรมใหม่ ของทางโรงงาน เพื่อจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการสั่งทำงาน ที่เหมือนกับงานตัวเดิมที่มาจากยุโรป จากเยรมัน หรือ จากญี่ปุ่น

หรือถ้าสะดวกเดินทางมายังที่บริษัทได้ ก็จะได้เห็นสินค้าตัวจริง เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ก่อนสั่งทำได้

แผนที่ทางมายังบริษัท 


Oil cooler size 15" x 15" หนา 44มม. พร้อมพัดลม

ออยล์คูลเลอร์ ขนาดใหม่ ขนาด 15 นิ้ว x 15 นิ้ว หนา 44มม. มาพร้อมกับบังลม และพัดลมขนาด 12 นิ้ว 220v

สามารถนำไปใช้กับระบบไฮดรอลิค ที่มีขนาดไม่ใหญ่

รูเข้าออก 1 นิ้ว

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0863452995 หรือ LINE ID: cps038272646

ล้างหม้อน้ำเอง ทำยังไง แบบง่ายๆ เป็นขั้นตอนๆ

วิธีล้างหม้อน้ำ รถยนต์ ด้วยตัวเองทำยังไง

ล้างหม้อน้ำ ด้วยตัวเองทำง่ายๆได้ที่บ้าน ถ้าอยากลอง แต่ถ้าไม่ชัว ก็ไปที่อู่ก็สะดวกเช่นกันแต่อาจแค่ต้องรอคิว ดังนั้นสำหรับ ขารีบ หรือ อยากลองทำเอง ก็ตามด้านล่างนี้เลย


          หม้อน้ำถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของระบบเครื่องยนต์ ที่เราหมั่นดูแล นอกเหนือจากเครื่องยนต์ เพราะหม้อน้ำ จะเป็นตัวระบายความร้อนของเครื่องยนต์ ซึ่งถ้าเกิดหม้อน้ำสกปรกหรือตันหรือรั่ว ก็จะทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนของเครื่องยนต์ได้ดี วันนี้เรามาดูในกรณีที่มันสกปรกหรือตันก่อน มาดูกันเลยครับกับการล้างหม้อน้ำเค้าทำกันยังไง

อุปกรณ์ที่ต้องใช้
  • น้ำยาล้างหม้อน้ำ (หาซื้อได้ที่ห้างสรรสินค้าทั่วไป)
  • สายยางฉีดน้ำ
  • ถุงมือกันน้ำ
  • แปรงล้างขวด (ล้างหม้อพักน้ำ)
  • น้ำสบู่
  • แว่นตานิรภัย (กันน้ำกระเด็นเข้าตา)
  • ภาชนะมิดชิดเพื่อทิ้งเก็บน้ำยาหล่อเย็นเก่า
  • ผ้าขี้ริ้ว
  • คีมและไขควง (สำหรับไขปลดหม้อพักน้ำและท่อยาง)


ขั้นตอนที่1

          หลังจากที่จอดรถจนเครื่องยนต์เย็นตัวลง ก็ทำการเปิดฝากระโปรงรถแล้วจากนั้นเปิดฝาหม้อน้ำได้เลย แต่สิ่งสำคัญก็คือ ควรเปิดตอนเครื่องยนต์และหม้อน้ำเย็นตัวเท่านั้น ถ้าเปิดตอนร้อนๆน้ำในหม้อน้ำจะดันแล้วพุ่งออกมาโดนเราได้ ต่อด้วยการหมุดลงไปหมุนหางปลาด้านล่างหม้อน้ำออก แต่ในบางรุ่นจะเป็นน็อต เสร็จแล้วให้ทำการถ่ายน้ำของเดิมออกให้หมด แล้วบิดหางปลาหลวมๆไว้ครับ



ขั้นตอนที่2

          ให้ทำการเติมน้ำยาล้างหม้อน้ำ และ น้ำสะอาด ลงไปในหม้อน้ำแล้ว ติดเครื่องยนต์ไว้ประมาณ 5 - 10 นาที เพื่อให้น้ำยาล้างหม้อน้ำเข้าไปทำความสะอาดหม้อน้ำและเครื่องยนต์




ขั้นตอนที่3

           หลังจากเครื่องยนต์เย็นตัวลงแล้วให้ทำการถ่ายน้ำในหม้อน้ำออก ให้หมด แล้วทำการเติมน้ำสะอาดกลับเข้าไปและติดเครื่องยนต์ ทิ้งไว้ 5-10 นาที ทำแบบนี้สัก 2-3รอบ จนน้ำที่เราถ่ายออกมาไม่มีคราบสกปรกออกมา



ขั้นตอนที่4

          ในเมื่อเราทำความสะอาดหม้อน้ำไปเป็นที่เรียบร้อย จนสะอาดไม่มีคราบสกปรกแล้ว ให้ทำการใช้คีมหรือไขควงถอดหม้อพักน้ำ และท่อยางมาทำความสะอาดให้เรียบร้อยด้วยเช่นกันโดยใช้แปรงล้างขวดทำความสะอาด



ขั้นตอนที่5
          ติดตั้งหม้อพักน้ำกลับเข้าที่เดิม และตรวจดูหางปลาด้วยว่า บิดปิดสนิทหรือไม่ จากนั้นทำการเติมน้ำยาหล่อเย็นและน้ำสะอาดกลับเข้าไปในอัตราส่วนที่กำหนด เท่านี้ก็เป็นที่เรียบร้อย กับการล้างหม้อน้ำ

      ขอบคุณบทความดีๆจาก Boxzaracing.com

 ข้อควรระวัง !!!!
     ลองทำกันดูนะครับ ส่วนตัวน้ำยากันสนิมที่เติมนั้น เน้นให้ดูว่าตัวเองใช้หม้อน้ำอะไร ถ้าเป็นหม้อน้ำอลูมิเนียมก็ใช้น้ำยาสำหรับหม้อน้ำอลูมิเนียม เพราะถ้าใส่ผิดอาจจะทำให้รังผึ้งหม้อน้ำอลูมิเนียมรั่วได้ และถ้าใช้หม้อน้ำทองเหลืองทองแดง ก็ใช้น้ำยากันสนิมสำหรับหม้อน้ำทองเหลืองทองแดง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ชลประสิทธิ์ หม้อน้ำ

สายพานหน้ารถ ทำงานอย่างไร มีไว้ทำไร สำคัญด้วยหรอ ดูแลยังไง

สายพานหน้าเครื่องคืออะไร มีความสำคัญแค่ไหน?

สายพานหน้าเครื่องคืออะไร มีความสำคัญแค่ไหน?

Silkspan
สนับสนุนเนื้อหา
     องค์ประกอบของเครื่องยนต์ที่จำเป็นต้องดูแลมีหลายส่วน ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องหลักๆ อย่างเช่น ของเหลวต่างๆ แล้ว สายพานต่างๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะสายพานมีหน้าที่ถ่ายทอดกำลังจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งนั่นเอง
     ซึ่งสายพานที่คุณมักจะได้ยินชื่อเสียงบ่อยๆ ก็คงจะหนีไม่พ้น สายพานไทม์มิ่ง และ สายพานหน้าเครื่อง ซึ่ง มีหน้าที่ในการทำงานอยู่คนละส่วน แยกกันอย่างชัดเจน และที่ต้องบอกแบบนี้ เพราะบางคนยังเข้าใจว่า สายพานทั้ง 2 แบบ คือสายพานตัวเดียวกัน ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย
     สำหรับครั้งนี้เราจะขอพูดถึง สายพานหน้าเครื่อง ซึ่งมีหน้าที่ในการถ่ายทอดกำลังที่ได้จากเครื่องยนต์ หรือมอเตอร์ไฟฟ้า ไปขับเคลื่อนชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำงานเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกัน โดยพลังงานในส่วนนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานอื่น ซึ่งจะมีมู่เล่ย์คอยรับ และถ่ายทอดกำลังที่ได้เหล่านี้ไปยังระบบต่างๆ
     แต่ก่อนอื่นขออธิบายให้คนที่ยังไม่ทราบได้รู้กันก่อนว่า สายพานหน้าเครื่องที่พูดถึงมีอะไรบ้าง เช่น สายพานเพาเวอร์, สายพานไดชาร์จ, สายพานปั๊ม, สายพานคอมเพรสเซอร์แอร์ ฯลฯ และสำหรับสมัยนี้รถใหม่ๆ ส่วนใหญ่ จะใช้สายพานเพียง1 - 2 เส้น คอยทำหน้าที่ถ่ายทอดกำลังชิ้นส่วนต่างๆ ที่กล่าวมา ซึ่งมันแตกต่างจากเมื่อก่อน ที่จะใช้สายพานหลายๆ เส้นในการทำงานในแต่ละส่วน
118.jpg
     นอกจากนี้ สายพานหน้าเครื่อง มีอายุการใช้งานอย่างน้อย 50,000 กิโลเมตร หรือ 2 – 3 ปี แต่ถ้าไม่มั่นใจ ก่อนถึงระยะให้เปิดฝากระโปรงหน้า แล้วตรวจเช็กเองก็ได้ เพราะมันอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นชัดเจน คุณก็เพียงแค่สังเกตดูว่า มีรอยแตกลายงา เนื้อยางแตกเป็นบั้งๆ หรือสายพานมีเส้นด้ายหลุดหลุ่ยออกมามากหรือไม่ ฯลฯ หากมีอาการตามที่กล่าวมา ให้เปลี่ยนใหม่ทันที เพราะหากใช้ต่อไป ถ้าสายพานขาด ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสายพานจะใช้งานไม่ได้ทันที และอาจทำให้ระบบเสียหายมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
     และปัญหาของสายพานที่มักพบเจอได้บ่อยๆ ก็คือเรื่องของเสียงที่ดัง เอี๊ยดอ๊าด โดยเฉพาะตอนที่เครื่องยนต์ยังเย็น หรือตอนที่เพิ่งสตาร์ทใหม่ๆ ซึ่งสาเหตุที่สายพานดังอาจเป็นเพราะ ความตึงของสายพานหย่อนยานลงไป วิธีแก้ไขก็คือการตั้งระยะความตึงของสายพานใหม่ และหลังจากตั้งใหม่แล้ว ให้เช็กดูด้วยว่า หากกดสายพานลงไปมันต้องมีความตึง ไม่หย่อนลงไปเหมือนเดิมอีก
     สุดท้ายนี้ หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับสายพาน ไม่ว่าจะเส้นไหน คุณควรรีบตรวจเช็กหาสาเหตุ เพราะถ้าวันใดสายพานเกิดขาดขึ้นมา แทนที่จะเสียเงินแค่ค่าสายพานเส้นใหม่ เผลอๆ อาจต้องเสียเงินเพิ่ม เพื่อซ่อมในจุดอื่นที่ได้รับผลกระทบตามไปด้วยก็ได้

สายพานหน้ารถ ทำงานอย่างไร มีไว้ทำไร สำคัญด้วยหรอ ดูแลยังไง 

ขอบคุณเนื้อหาดีๆ นำมาแบ่งปันเพื่อนๆ

รีวิว Mazda 3 2017 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ มีดีที่ G-Vectoring Control / G-Vectoring Control คืออะไร

รีวิว Mazda 3 2017 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ มีดีที่ G-Vectoring Control
Mazda 3 ปี 2017 minor change

รีวิว Mazda 3 2017 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ มีดีที่ G-Vectoring Control และ อธิบายคร่าวๆว่า G-Vectoring Control คืออะไร ทำงานอย่างไร



     ช่วงนี้มีรถเปิดตัวใหม่ที่เป็นโฉมไมเนอร์เชนจ์อยู่พอสมควร ซึ่งแต่ละค่ายก็มีกลยุทธ์ในการเพิ่มความสดใหม่ต่างกันไป บ้างก็เน้นที่ดีไซน์ภายนอก ส่วนภายในก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่สำหรับ Mazda 3 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ แม้ว่าภายในอาจดูไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่เมื่อพูดถึงการขับขี่แล้วล่ะก็ เรียกว่าต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจนเลยทีเดียว
     Mazda 3 โฉมนี้ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2556 ทำตลาดเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 ทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก ชูจุดเด่นทั้งด้านรูปลักษณ์ภายนอกที่ออกแบบภายใต้คอนเซ็พท์ Kodo Design รวมถึงสมรรถนะการขับขี่ที่ถือเป็นตัวชูโรงของมาสด้าเรื่อยมา
215
Mazda 3 ปี 2017 minor change

     จุดเปลี่ยนใน Mazda 3 ใหม่ แม้ว่าจะเป็นเพียงการปรับโฉมย่อย แต่ก็ไม่เพียงแต่ปรับหน้าตา หรือเพิ่มอ็อพชั่นเอาใจลูกค้าเหมือนที่ค่ายรถยนต์อื่นทำกันเท่านั้น
     หากแต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่เกิดขึ้นใน Mazda 3 โฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้ คือ การเพิ่มระบบ G-Vectoring Control ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี SKYACTIV-VEHICLE DYNAMIC ที่ทำให้บุคลิกของรถคันนี้เปลี่ยนไปจากเดิมราวกับคนละรุ่น รวมถึงเพิ่มระบบความปลอดภัยขั้นสูงเทียบชั้นรถยุโรปภายใต้ระบบ i-ACTIVESENSE ซึ่งนี่แหละ.. คือหัวใจสำคัญในการพัฒนารถยนต์รุ่นนี้

     ปัจจุบัน Mazda 3 ใหม่ มีตัวถังให้เลือกทั้งรุ่นซีดาน 4 ประตู และแฮทช์แบ็ค 5 ประตู ซึ่งแต่ละแบบจะมีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ได้แก่ 2.0E, 2.0C, 2.0S และ 2.0SP เพิ่มเติมในรุ่นซีดานที่เดิมจะไม่มี 2.0SP ให้เลือก เท่ากับว่า Mazda 3 ใหม่ จะมีให้เลือกทั้งหมดถึง 8 รุ่นย่อยตามแต่ความต้องการของแต่ละคน
     ตัวถังของ Mazda 3 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ มีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 7 สี โดยเป็นสีใหม่ถึง 3 สี ได้แก่ สีเทาเมเทเออร์เกรย์, สีดำเจ็ทแบล็ค และสีน้ำเงินเอเทอร์นัลบลู ขณะที่สีไฮไลท์อย่างสีแดงโซลเรดยังคงมีให้เลือกเช่นเคย

     ดีไซน์ภายนอกของ Mazda 3 ใหม่ มีการออกแบบรูปลักษณ์ด้านหน้าใหม่ โดยในรุ่นท็อปสุด 2.0SP ที่เรามีโอกาสทดสอบนั้น ติดตั้งไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ LED ที่ลดความเฉียบลงแต่ดูเคร่งขรึมมากขึ้น พร้อม Daytime Running Light ใหม่ที่ดูคลีนมากขึ้น ออกแบบรับกับกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ตกแต่งด้วยโครเมียม
     ขณะที่กันชนถูกออกแบบใหม่เช่นกัน (แม้ว่าจะดูไม่ค่อยต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก) ตกแต่งไฟเลี้ยวด้วยแถบโครเมียมเล็กๆ พร้อมไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED

     ด้านข้างมีการออกแบบไฟเลี้ยวบนกระจกมองข้างใหม่ให้มีลักษณะเป็นเส้นเรียว พร้อมทั้งล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วดีไซน์เดิม ที่ตกแต่งด้วยสีเทาเข้มเคลือบประกาย ขณะที่รุ่น 2.0E และ 2.0S จะเป็นล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วลายเดิม
     ขณะที่ด้านท้ายมีเพียงรุ่นตัวถังแบบแฮทช์แบ็คเท่านั้นที่มีการออกแบบกันชนใหม่ ขณะที่รุ่นซีดานเหมือนเดิมทุกอย่าง
208
Mazda 3 ปี 2017 minor change

     ภายในห้องโดยสารแม้ว่าจะยังคงใช้แผงคอนโซลหน้าและแผงประตูแบบเดิม ที่มีการเพิ่มเติมรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเข้าไป ทำให้รู้สึกถึงความพรีเมี่ยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยหุ้มหนังแบบ 3 ก้าน ตกแต่งด้วยโครเมียม เพิ่มแผงปิดที่วางแก้วดีไซน์หรูหรา พร้อมเปลี่ยนจากเบรกมือปกติเป็นแบบไฟฟ้า ซึ่งติดตั้งปุ่มควบคุมไว้ใกล้กับสวิตช์ Center Commander บริเวณคอนโซลกลาง นอกจากนั้น ทุกรุ่นยังติดตั้งปุ่ม Drive Selection สำหรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่เป็นแบบสปอร์ตมาให้
     หน้าจอ Center Display ขนาด 7 นิ้วถูกออกแบบใหม่เช่นกัน ซึ่งจากเดิมจะล้อมด้วยโครเมียมเงาทำให้แสงแดดสะท้อนเข้าตา บัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นสีดำที่ช่วยลดแสงสะท้อนได้เป็นอย่างดี รวมถึงปรับปรุงหน้าจอ Active Driving Display ให้สามารถแสดงผลแบบสีได้ รวมถึงแสดงข้อมูลระบบนำทาง, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และสัญญาณแจ้งเตือนต่างๆได้ ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนน


     เบาะนั่งถูกหุ้มด้วยหนังสีดำล้วน จากเดิมที่จะเดินด้วยด้ายสีแดง ฝั่งผู้ขับเป็นแบบปรับมือ 6 ทิศทาง ฝั่งผู้โดยสารปรับได้ 4 ทิศทาง ขณะที่เบาะนั่งด้านหลังติดตั้งพนักพิงศีรษะมาให้ 3 ตำแหน่ง โดยตัวพนักพิงสามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 ได้ทั้งรุ่นแฮทช์แบ็คและซีดาน พร้อมเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดให้ครบทั้ง 5 ที่นั่ง

     ระบบเครื่องเสียงในรุ่น 2.0C ขึ้นมาสามารถสั่งงานผ่านหน้าจอ Center Display ขนาด 7 นิ้ว รองรับแผ่น CD/MP3 ได้ 1 แผ่น ซึ่งหน้าจอดังกล่าวสามารถใช้งานระบบสัมผัสได้ในกรณีรถหยุดนิ่ง หากรถมีการเคลื่อนที่จะบังคับให้ใช้ปุ่ม Center Commander บริเวณคอนโซลกลางเท่านั้น
     เครื่องเสียงชุดดังกล่าวมาพร้อมระบบ Bluetooth สำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงในตัว ติดตั้งพอร์ต AUX รวมถึงพอร์ต USB จำนวน 2 จุด ขณะที่ช่องจ่ายไฟ 12 โวลต์มีให้ 1 จุด มีเฉพาะรุ่น 2.0E ที่เป็นรุ่นรุ่นล่างสุดเท่านั้นจึงจะมีให้ 2 จุด
211
Mazda 3 ปี 2017 minor change

     ในรุ่น 2.0SP ถูกติดตั้งระบบนำทางให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ขณะที่รุ่น 2.0C และ 2.0S จะต้องซื้อเป็นอุปกรณ์เสริมแยกต่างหาก ซึ่งตัวระบบเองออกแบบให้รองรับไว้แล้ว โดยหน้าจอนี้ยังสามารถแสดงผลจากกล้องมองหลังได้ และยังมีเซ็นเซอร์กะระยะด้านท้ายมาให้เสริมความปลอดภัย (เฉพาะรุ่น 2.0S ขึ้นไป)

     มาถึงด้านระบบความปลอดภัยใน Mazda 3 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ที่กลายเป็นตัวชูโรงเลยก็ว่าได้ โดยระบบ i-ACTIVSENSE มีการเพิ่มฟังก์ชั่นเป็นทั้งหมด 10 ระบบ ประกอบด้วย
- ALH (Adaptive LED Headlamps) ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ปรับการทำงานของไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติผ่านกล้องที่ติดตั้งไว้บริเวณกระจกหน้า แยกอิสระซ้าย-ขวา สามารถส่องไฟสูงไปด้านหน้าโดยไม่รบกวนรถที่วิ่งสวนมาได้ โดยระบบจะมีการหลบหลีกองศาไฟให้อัตโนมัติ
- MRCC (Mazda Radar Cruise Control) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมปรับระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้า
- SBS (Smart Brake Support) ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ
- DAA (Driver Attention Alert) ระบบช่วยเตือนเมื่อผู้ขับเหนื่อยล้าขณะขับขี่  
- LAS (Lane-Keep Assist System) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน
- LDWS (Lane Departure Warning System) ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน
- SCBS (Smart City Brake Support) ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ
- SCBS-R (Smart City Brake Support-Reverse) ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง
- ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring) ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน
- RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
     ขณะที่ระบบความปลอดภัยพื้นฐานก็มีให้ครบครันเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ม่านถุงลมนิรภัย,  ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว DSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC, ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HLA, กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ เป็นต้น
214
Mazda 3 ปี 2017 minor change

     ขุมพลังใน Mazda 3 ไมเนอร์เชนจ์ทุกรุ่นจะถูกติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ Dual S-VT ให้กำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที รองรับน้ำมันทางเลือกสูงสุด E85 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE แบบ 6 สปีด พร้อมโหมดเกียร์ธรรมดา Activematic ซึ่งเกียร์ลูกนี้ถือเป็นจุดเด่นของมาสด้าอีกชิ้น ในขณะที่ค่ายคู่แข่งเริ่มหันไปใช้เกียร์แบบซีวีทีแทบจะหมดแล้ว
     โดยผู้ขับขี่สามารถปรับเป็นโหมดธรรมดาได้ผ่านแป้น Paddle Shift ที่พวงมาลัย รวมถึงเพิ่มโหมดสปอร์ตที่สั่งงานผ่านปุ่ม Drive Selection ช่วยให้ตัวรถกระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น

     ด้านช่วงล่างเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทด้านหน้า พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป้นแบบอิสระมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ติดตั้งพวงมาลัยไฟฟ้า EPAS ส่วนระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน
     ในรุ่น 2.0S และ 2.0SP ติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง Dunlop SP Sport Maxx ขนาด 215/45 R18 ขณะที่รุ่น 2.0E และ 2.0C จะได้ล้อขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาวขนาด 205/60 R16

     ไฮไลท์สำคัญของ Mazda 3 ใหม่คันนี้ ก็คือ ระบบ G-Vectoring Control ที่ติดตั้งมาให้ทุกรุ่นย่อย ซึ่งหลักการทำงานของระบบที่ว่านี้ก็คือการควบคุมแรงบิดไปยังล้อแต่ละล้อที่เหมาะสมในขณะเข้าโค้ง ซึ่งจะช่วยให้ตัวรถเข้าโค้งได้แม่นยำยิ่งขึ้น พร้อมทั้งลดอาการโคลงลงได้
     ระบบดังกล่าวจะประมวลผลจากองศาของพวงมาลัย ความเร็วของรถ รวมถึงน้ำหนักเท้าที่กดลงบนแป้นคันเร่ง จากนั้นจึงจะควบคุมแรงบิดไปยังล้อคู่หน้าข้างที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ช่วยดึงรถให้อยู่ในโค้งอย่างแม่นยำ
Mazda
G-Vectoring Control ทำงานอย่างไร

     ผลลัพธ์ที่ได้อีกอย่างหนึ่งจากการทำงานของ G-Vectoring Control คือ จะช่วยให้รถถ่ายน้ำหนักไปยังล้อคู่หน้า ซึ่งเป้นล้อที่ควบคุมน้ำหนักและทิศทาง ช่วยให้เกาะถนนมากขึ้นในขณะเข้าโค้ง และเมื่อออกจากโค้ง ระบบจะถ่ายน้ำหนักกลับมาด้านหลัง (เพราะ GVC ไม่มีการควบคุมแรงบิดแล้ว ทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าตามปกติ) ช่วยให้รถวิ่งออกจากโค้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
     เดิมทีผู้เขียนยังไม่เชื่อว่าระบบดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพถึงขนาดนั้น เพราะ GVC จะทำงานด้วย 2 ล้อหน้าเท่านั้น ต่างจากระบบกระจายแรงบิดในรถขับเคลื่อนสี่ล้อหรูๆ ที่มีการกระจายแรงบิดได้ทุกล้อ แต่เมื่อได้ลองขับเท่านั้นแหละครับ... มันเปลี่ยนความคิดของผู้เขียนไปอย่างสิ้นเชิงเลยจริงๆ

     รถมาสด้า 3 คันที่เราได้รับมาทดสอบนั้น เป็นตัวถังซีดาน 4 ประตู รุ่นท็อปสุด 2.0SP ซึ่งเป็นรุ่นไฮไลท์ของการทดสอบครั้งนี้
     เริ่มต้นการทดสอบ เราเดินทางออกจากโชว์รูม ไซม์ ดาร์บี้ มาสด้า สาขาพาราไดซ์พาร์ค ซึ่งตั้งอยู่บนถนนศรีนครินทร์ โดยมีผู้โดยสารเต็มคันทั้งหมด 4 ท่านรวมคนขับ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คืออัตราเร่งที่แทบไม่ต่างไปจากเดิมเลย กล่าวคือ มันยังคงให้อัตราเร่งที่ดีในระดับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรทั่วไป ไม่หนีจากคู่แข่งในตลาดนัก
234
Mazda 3 ปี 2017 minor change

     แต่จุดเด่นของเครื่องยนต์ SKYACTIV-G บล็อกนี้ ก็คือแรงบิดสูงสุดที่มีให้ 210 นิวตัน-เมตร ในรอบเครื่องยนต์ที่ 4,000 รอบต่อนาที บุคลิกของมันจึงมีอาการคล้ายเครื่องยนต์ดีเซลอยู่นิดๆ นั่นหมายความว่ามันพอมีแรงดึงให้เล่นโดยไม่ต้องคิกดาวน์อย่างรุนแรงเหมือนเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป การกดคันเร่งสักครึ่งหนึ่งของระยะทั้งหมด ก็พอจะเรียกเรี่ยวแรงให้พุ่งทะยานตามใจสั่งแล้ว แต่อย่างไรก็คงเทียบกับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบจริงๆไม่ได้อยู่ดี
     การขับขี่ที่ความเร็วสูงประมาณ 120 กม./ชม. บนถนนมอเตอร์เวย์ขาออกมุ่งหน้าบางปะอิน ช่วงล่างให้ความมั่นใจได้ดี พวงมาลัยให้ความมั่นคง หากสังเกตดีดีจะพบว่าพวงมาลัยไม่จำเป็นต้องแก้อาการเป๋ซ้ายทีขวาทีบ่อยครั้งเหมือนกับรถญี่ปุ่นคันอื่น ซึ่งมาสด้าระบุว่าเป็นผลมาจากระบบ G-Vectoring Control ด้วยเช่นกัน นั่นทำให้ผู้เขียนสามารถจับพวงมาลัยได้อย่างนิ่งๆ ขณะขับขี่ที่ความเร็วสูง แม้ว่าพื้นถนนจะไม่ราบเรียบนักก็ตาม ช่วยให้รู้สึกปลอดภัยและมั่นใจมากขึ้นตามไปด้วย
233
Mazda 3 ปี 2017 minor change

     ระหว่างทางได้มีโอกาสทดสอบระบบ MRCC หรือ Mazda Radar Cruise Control ที่ช่วยปรับความเร็วตามคันหน้าได้อัตโนมัติ โดยเพียงแค่ตั้งความเร็วที่ต้องการไว้ จากนั้นรถจะคอยตรวจสอบระยะห่างระหว่างคันหน้าอยู่ตลอดเวลา หากรถคันหน้าชะลอช้าลง ระบบ MRCC ก็จะสั่งให้ชะลอความเร็วตามคันหน้าด้วยเช่นกัน
     แต่หากรถคันหน้าชะลอความเร็วจนต่ำกว่าประมาณ 20-25 กม./ชม. ระบบ MRCC จะตัดการทำงานออกไปอัตโนมัติพร้อมสัญญาณแจ้งเตือนบนหน้าปัด เป็นอันทราบว่าผู้ขับขี่จะต้องควบคุมคันเร่งด้วยตัวเองแล้ว
217
Mazda 3 ปี 2017 minor change

     การเก็บเสียงทำได้ดีกว่ารุ่นที่แล้วพอสมควร เสียงจากพื้นถนนและช่วงล่างเล็ดลอดเข้ามาในระดับต่ำ ขณะที่เสียงลมที่ไหลผ่านตัวถังด้านข้างก็สามารถทำได้ดีเช่นกัน ช่วยให้บรรยากาศภายในรถรู้สึกผ่อนคลาย สมกับที่มาสด้าพยายามยกระดับรถคอมแพ็คคาร์ให้เข้าใกล้คำว่าพรีเมี่ยมมากที่สุดเท่าที่ต้นทุนของตัวรถจะเอื้ออำนวย
     หลังจากที่แวะรับประทานอาหารกลางวันกันเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าต่อไปยังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่โดยมีสื่อมวลชนอีกท่านเป็นผู้ขับ ซึ่งใครที่เคยไปจะทราบดีว่าเส้นทางบนอุทยานเขาใหญ่มีโค้งให้เล่นอยู่พอสมควร แถมเอื้ออำนวยให้ใช้ความเร็วได้พอสมควร จึงถือเป็นด่านทดสอบช่วงล่างของรถคันนี้ได้เป็นอย่างดี
241
Mazda 3 ปี 2017 minor change

     ในช่วงที่รถแล่นผ่านทางโค้งเหล่านั้น ผู้เขียนซึ่งนั่งอยู่เบาะหลัง ก็พอจะสัมผัสได้ว่าตัวรถมีอาการโยนน้อยกว่าที่คาด ทั้งๆที่ผู้ขับขี่ในขณะนั้นแทบไม่แตะเบรกด้วยซ้ำไป ตัวรถสามารถแล่นไปตามโค้งได้อย่างฉับไวรวดเร็วโดยที่ผู้โดยสารยังคงรู้สึกสบาย ไม่เหวี่ยง แม้แต่โค้งลึกๆ ที่คิดว่าจะต้องมีอาการโยนแรงๆกันบ้างล่ะ พอเอาเข้าจริงๆกลับรู้สึกว่าช่วงล่างของ Mazda 3 สามารถรักษาอาการได้ดีกว่าที่คิด ซึ่งเหล่านี้เป็นผลจากระบบ G-Vectoring Control ล้วนๆ
248
Mazda 3 ปี 2017 minor change

     คุณงามความดีของช่วงล่าง Mazda 3 ใหม่ดังกล่าว แสดงให้เห็นชัดเจนอีกครั้ง เมื่อมาถึงช่วงการทดสอบที่ 2 ซึ่งมีการจำลองสถานการณ์เปลี่ยนเลนกะทันหันที่ความเร็วประมาณ 40 และ 60 กม./ชม. โดยมาสด้ายังได้นำเอา Mazda 3 รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ที่ยังไม่มีระบบ GVC มาเทียบให้เห็นกับแบบจะจะด้วย
225
Mazda 3 ปี 2017 minor change

     ผลที่ได้คือ Mazda 3 รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ เมื่อมีการเปลี่ยนเลนกะทันหัน จะรู้สึกถึงแรงโยนอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่รุ่นใหม่กลับรักษาอาการไว้ได้ดีกว่าอย่างน่าเหลือเชื่อ รวมถึงยังสามารถหักเลี้ยวได้อย่างฉับไว ตัวรถสามารถเบนทิศทางไปตามโค้งได้ดีกว่าอย่างชัดเจน จึงไม่แปลกที่รถคันนี้สามารถเข้าโค้งได้อย่างสนุกสนาน จนเรียกได้ว่าเป็นรถในกลุ่มซี-เซ็กเม้นต์ที่ขับสนุกที่สุดคันหนึ่งในตลาดขณะนี้ก็ว่าได้
254
Mazda 3 ปี 2017 minor change

     สรุป Mazda 3 ใหม่ ยังคงพัฒนาต่อยอดการเป็นรถยนต์ที่ขับสนุกขึ้นไปได้อีก แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกอาจไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการรักษาเอกลักษณ์ของรถคันนี้เอาไว้ ขณะที่ห้องโดยสารภายในเน้นผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าเป็นสำคัญ ทำให้พื้นที่โดยสารตอนหลังไม่กว้างขวางเท่ากับคู่แข่ง
     จุดเด่นสำคัญคือการอัดแน่นฟีเจอร์ความปลอดภัยแบบเต็มเอี้ยด ชนิดที่ว่ารถยุโรปยังได้แค่มองแบบปริบๆ แต่ฟีเจอร์ที่เป็นดาวเด่นของรถคันนี้ก็คือ G-Vectoring Control ที่เปลี่ยนบุคลิกของรถคันนี้ให้น่าขับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าจะเป็นฟังก์ชั่นที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา แต่เมื่อได้ขับจะทราบทันทีว่ามันต่างจากคู่แข่งขนาดไหน ดังนั้น เราจึงขอแนะนำว่าคุณต้องไปลองรถคันนี้ด้วยตัวคุณเองครับ

228_1
Mazda 3 ปี 2017 minor change

ราคาจำหน่าย Mazda 3 2017 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่
รุ่น Sedan
2.0SP - 1,119,000 บาท (รุ่นที่ใช้ในการทดสอบ)
2.0S - 988,000 บาท
2.0C - 928,000 บาท
2.0E - 847,000 บาท
รุ่น Hatchback
2.0SP Sports - 1,119,000 บาท
2.0S Sports - 988,000 บาท
2.0C Sports - 928,000 บาท
2.0E Sports -847,000 บาท

Sanook! Auto
สนับสนุนเนื้อหา